top of page
รูปภาพนักเขียนGaslight Café

ครบรอบ 25 ปี 'Notting Hill' หนังรอมคอม อุ่นใจ ในตำนาน



ในยุครุ่งเรืองที่สุดยุคหนึ่งของหนังโรแมนติกคอเมดี้ เรื่องราวความรักระหว่างดาราสาวซูเปอร์สตาร์ระดับโลก Anna Scott กับหนุ่มเดินดินเจ้าของร้านหนังสือท่องเที่ยว William Thacker ใน Notting Hill ซึ่งรับบทโดย Hugh Grant และ Julia Roberts คงจะต้องเป็นหนึ่งเรื่องที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี หรืออาจถึงขั้นติดอันดับหนังในดวงใจของใครหลายคน …วันนี้หนังเรื่องนี้มีอายุครบ 25 ปีเต็มแล้วครับ

.

‘รักบานฉ่ำที่น็อตติ้งฮิลล์’ เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่สหราชอาณาจักรเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1999 ก่อนที่จะข้ามฟากมาเปิดตัวในสหรัฐฯ วันที่ 28 พฤษภาคม หรือหนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น และเข้าฉายในประเทศไทยวันที่ 30 กรกฎาคม ปีเดียวกัน

.

ในสหรัฐฯ หนังเปิดตัวที่อันดับ 2 บนตารางบ็อกซ์ออฟฟิศท่ามกลางหนัง (ที่กำลังจะกลายเป็นหนัง) ในตำนานอีกหลายเรื่องซึ่งรายล้อม Notting Hill อยู่ที่อันดับอื่นในเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็น The Matrix ภาคแรก, The Mummy ภาคแรก และ Star Wars Episode I: The Phantom Menace ทั้งหมดกำลังโกยรายรับเขย่าบ็อกซ์ออฟฟิศอย่างถล่มทลาย โดยเป็น Star Wars นี่เองที่ยังคงยึดหัวหาดอยู่อันดับ 1 ในสุดสัปดาห์นั้น ทำให้ Notting Hill เปิดตัวได้แค่ที่ 2

.

ความนิยมของ Notting Hill ทำให้หนังกวาดรายรับรวมไปได้ถึง 116 ล้านเหรียญฯ กลายเป็นหนังทำเงินสูงสุดอันดับที่ 11 ในสหรัฐฯ ประจำปี 1999 และเมื่อรวมเข้ากับรายรับนอกสหรัฐฯ อีก 247 ล้านเหรียญฯ เบ็ดเสร็จแล้ว Notting Hill ทำรายรับรวมทั่วโลกกว่า 363 ล้านเลยทีเดียว แม้จะเทียบไม่ได้กับตัวเลขมหาศาลระดับพันล้านอย่างหนังบล็อกบัสเตอร์ที่ผูกเรื่องราวกันเป็นจักรวาลยิ่งใหญ่มโหฬารในปัจจุบัน แต่นี่ก็คือความมหัศจรรย์ในแง่การทำเงินของหนังรอมคอมทุนสร้างเพียง 42 ล้านเรื่องหนึ่งในยุคเมื่อเกือบ 3 ทศวรรษก่อนซึ่งค่าเงินแตกต่างกับในปัจจุบันเป็นอย่างมาก

.

สิ่งที่น่าทึ่งอีกอย่างคือ ณ เวลานั้น นอกจาก Notting Hill จะดีดตัวเข้ามาอยู่ในอันดับ 8 หนังรอมคอมที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในอเมริกาแล้ว ใน 10 อันดับแรกของเรคอร์ดดังกล่าว ยังเป็นผลงานของจูเลีย โรเบิร์ตส์ไปแล้วถึง 4 เรื่อง โดยนอกจาก Notting Hill แล้ว ก็ยังมี My Best Friend’s Wedding (1997) ในอันดับที่ 6 (127 ล้าน), Runaway Bride (ซึ่งออกฉายตามหลัง Notting Hill 2 เดือน) ในอันดับที่ 3 (152 ล้าน) และ Pretty Woman (1990) ในอันดับที่ 1 (178 ล้าน) ทั้งหมดทั้งมวลคงตอกย้ำความเป็นนางเอกหนังรอมคอมเบอร์หนึ่งตลอดกาลของเธอได้เป็นอย่างดี

.

และนี่เองคือกลยุทธ์เกินต้านที่สำคัญอย่างหนึ่งซึ่งทำให้ผู้ชมอย่างเราๆ ยากที่จะปฏิเสธ Notting Hill ได้ลง เพราะขึ้นชื่อว่าหนังรอมคอมเมื่อไหร่ ชื่อที่การันตีคุณภาพได้แน่นอนย่อมหนีไม่พ้นชื่อของจูเลีย โรเบิร์ตส์ หากแต่คราวนี้สิ่งที่ทำให้หนังน่าดูยิ่งกว่าเดิมก็คือ การมาของพระเอกจากหนังฝั่งอังกฤษอย่างฮิวจ์ แกรนท์นั่นเอง เมื่อนางเอกสายรอมคอมอเมริกันประกบคู่กับพระเอกสายรอมคอมอังกฤษ มันจะกลายเป็นอะไรไปได้หากไม่ใช่แรงดึงดูดผู้ชมแบบทวีคูณที่เกิดขึ้นจากดาราระดับแม่เหล็กทั้งสองคน

.

หากจะมองถึงเส้นทางอาชีพนักแสดง ก็ต้องบอกว่า Notting Hill นั้นมาในจังหวะที่ใช่ของทั้งฮิวจ์ แกรนท์ และจูเลีย โรเบิร์ตส์ เพราะทั้งคู่ต่างก็อยู่ในช่วงเปล่งปลั่งสดใสที่สุดในอาชีพการงานของพวกเขาพอดิบพอดี (หรือถ้าจะหมายรวมไปถึงรูปลักษณ์ของทั้งคู่ในช่วงนั้นด้วยก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด)

.

ฮิวจ์ แกรนท์กำลังก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าพระเอกสายตลกโรแมนติก ผลงานที่ตามหลัง Notting Hill อย่าง Bridget Jones’s Diary (2001), Two Weeks Notice (2002), About a Boy (2002), Love Actually (2003), Bridget Jones: The Edge of Reason (2004) และ Music and Lyrics (2007) คือหลักฐานที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี

.

ในขณะที่จูเลีย โรเบิร์ตส์ ซึ่งยืนหนึ่งในฐานะนางเอกหนังรอมคอมไปเรียบร้อยแล้ว ก็มีทั้ง Notting Hill และ Runaway Bride ออกฉายไล่เลี่ยกัน รวมถึงทำเงินมหาศาลทั้งสองเรื่อง ก่อนที่ผลงานเรื่องถัดไปอย่าง Erin Brockovich (2000) จะพาเธอไปสู่จุดสูงสุดด้วยการคว้ารางวัลออสการ์นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครอง

.

เฉกเช่นกับตัวละคร ‘แอนนา สก็อตต์’ ของเธอใน Notting Hill แอนนาเองก็เป็นดาราที่มีชื่อเสียงโด่งดังเหมือนกับตัวจูเลีย โรเบิร์ตส์ เหมือนแม้กระทั่งช่วงเวลาสำคัญของชีวิตที่กำลังเปลี่ยนผ่านจากนักแสดงที่คนทั้งโลกรู้จักในฐานะ ‘ซูเปอร์สตาร์’ มาเป็นนักแสดง ‘ดีกรีออสการ์’ ความเทียบเคียงทั้งในจอและนอกจอที่แทบจะเป็นบล็อกเดียวกันนี้ ดูน่าจะช่วยให้การถ่ายทอดบทบาทเป็นตัวละครที่มีชื่อเสียงโด่งดังของจูเลีย โรเบิร์ตส์นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็นเท่าไรนัก แต่ความจริงแล้วหาเป็นเช่นนั้นไม่

.

จูเลียเคยลังเลและเกือบบอกผ่านบทนี้ด้วยเหตุผลที่เป็นมุมตรงข้ามกับสิ่งที่เราอาจจะเข้าใจกันแค่เปลือกนอกนั่นคือ ‘มันเหมือนกับตัวเธอเกินไป’ และการมารับเล่นเป็นตัวละครนี้ก็คือหนึ่งในสิ่งที่ยากที่สุดที่เธอเคยทำมา เธอยังบอกด้วยว่า ‘มันทั้งอึดอัด เคอะเขิน แปร่งๆ ไปหมด และไม่รู้ว่าจะเล่นเป็นแอนนายังไง’ และเธอก็ไม่ชอบการถูกจับแต่งตัวให้เป็นลุคซูเปอร์สตาร์เอามากๆ

.

ดังนั้นการถ่ายทำหนึ่งในซีนจำของหนังอย่างซีน “I'm also just a girl, standing in front of a boy, asking him to love her.” (“ฉันก็แค่ผู้หญิงคนนึง ที่กำลังยืนต่อหน้าผู้ชาย อ้อนวอนให้เขารักเธอ”) จูเลียจึงตัดสินใจให้คนขับรถกลับไปหยิบเสื้อผ้าชิ้นนั้นชิ้นนี้ (ตามที่เธอขอ) จากที่พักของเธอมา เพื่อมาใช้ในฉากนี้เองโดยไม่เลือกใช้เสื้อผ้าที่ฝ่ายคอสตูมของกองเตรียมไว้ให้

.

เธอให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า “มันเป็นรองเท้าแตะของฉันค่ะ กระโปรงกำมะหยี่สีน้ำเงินตัวน้อยน่ารัก เสื้อยืด แล้วก็คาร์ดิแกน” ซึ่งนี่เองคือชุดสบายๆ โทนสีฟ้าน้ำเงินที่สุดท้ายเราได้เห็นกันในหนัง และกลายเป็นการสะท้อนภาพผู้หญิงธรรมดาสามัญที่อยู่ในตัวตนของดาราชื่อก้องโลกอย่างแอนนาได้เป็นอย่างดี แต่กระนั้นแล้วผู้เขียนบทของหนังอย่าง Richard Curtis ก็ชอบพูดติดตลกกับจูเลียถึงเสื้อผ้าของเธอในฉากนี้ว่า “ผมผิดหวังมาตลอดเลยที่วันนั้นคุณไม่ใส่ชุดที่ดีกว่านี้น่ะ”

.

ริชาร์ด เคอร์ติสเอง ก็เป็นอีกกุญแจสำคัญที่ทำให้ Notting Hill ประสบความสำเร็จ และยังเป็นหนังที่ครองใจผู้ชมมาได้จนทุกวันนี้ ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าสตอรีที่ไม่ยากต่อการตีความ เป็นโครงเรื่องง่ายๆ ที่ใครดูแล้วก็อินตามได้ไม่ยาก นอกจากนี้มันยังไม่ยึดโยงกับประเด็นทางสังคมให้ซับซ้อนปวดหัวมากนักตามสไตล์หนังสมัยก่อน ซึ่งเป็นยุคที่ความวุ่นวายของโลกเรายังเบาบางกว่านี้ ต่างจากเทรนด์หนังยุคปัจจุบันที่แม้แต่หนังรอมคอมก็พยายามสอดแทรกธีมบางอย่างเพื่อตั้งคำถามถึงประเด็นสังคมลงไป

.

เหนือสิ่งอื่นใดคือภาพรวมของหนังที่ชูบรรยากาศแห่งความหวัง กำลังใจ มิตรภาพ และการมองโลกในแง่ดีอย่างเต็มสูบ มากกว่าจะให้ความสำคัญกับความรู้สึกเกลียดชังหรือทัศนคติที่ติดลบ ลองนึกถึงฉากปาร์ตี้มื้อค่ำฉลองวันเกิดของน้องสาวพระเอกดูก็ได้ครับ ในความธรรมดานั้นกลับเต็มไปด้วยความอุ่นใจและการซัพพอร์ตซึ่งกันและกันของเหล่าตัวละคร แถมมีอะไรตลกๆ ให้ผู้ชมขำกันได้ตลอดซีน ที่สำคัญคงมีคนดูจำนวนไม่น้อยที่เคยถามตัวเองเล่นๆ ว่า ‘ถ้าวันนึงมีดาราดังมาบ้านเรา มันจะเป็นยังไงกันนะ’ …Notting Hill ตอบเราไว้ที่ฉากนี้นั่นเอง

.

อย่างสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ บทเพลงตราตรึงมากมายจากหนังซึ่งกลายมาเป็นอัลบั้มซาวด์แทร็กประกอบภาพยนตร์ที่โด่งดังสุดขีด โดยนอกจากความไพเราะล้ำค่าชนิดที่พบได้แบบแทร็กต่อแทร็กแล้ว นี่ยังเป็นข้อพิสูจน์ว่า Notting Hill คือหนึ่งในหนังที่เลือกใช้เพลง (ที่มีอยู่แล้ว) มาประกอบเรื่องราวได้ดีที่สุดตลอดกาลด้วย

.

ไม่ว่าจะเป็น “Ain’t No Sunshine” เพลงปี 1971 โดย Bill Withers ที่ถูกนำมาใช้ในฉาก ‘เปลี่ยนผ่านฤดูกาล’ ขณะที่พระเอกกำลังเดินผ่านร้านรวงมากมายบนท้องถนน หรือจะเป็น “When You Say Nothing At All” เพลงคันทรีปี 1988 โดยศิลปินผู้ล่วงลับ Keith Whitley ซึ่งถูกขับร้องใหม่เพื่อนำมาใช้ในหนังโดย Ronan Keating และมีเนื้อความว่าด้วยการสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันงดงามแม้อีกฝ่ายไม่ต้องเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ก็สอดคล้องกับการวางตัวละครนางเอกที่เปรียบเสมือนดวงดาราบนฟากฟ้า

.

หรืออย่าง “She” ของ Charles Aznavour เมื่อปี 1974 ซึ่งถูกนำมาร้องใหม่ในครั้งนี้โดย Elvis Costello ก็ถูกเลือกมาเป็นเพลงเอกของหนัง ที่คล้ายเป็นการยกระดับความสำคัญของนางเอกเข้าไปอีกขั้นว่า ไม่เพียงแต่ ‘เธอ’ จะมีความหมายต่อพระเอกเท่านั้น แต่ ‘เธอ’ ยังได้รับการโอบกอดจากคนอีกมากมายที่รักในตัวเธอไม่ว่าเธอจะเศร้าหรือสุขอย่างไร ดังที่ท่อนสุดท้ายของเพลงบอกเอาไว้ด้วย

.

“Me, I'll take her laughter and her tears

And make them all my souvenirs

For where she goes I've got to be

The meaning of my life is she

She…

Oh, she”

.

หากใครอยากหวนรำลึกบรรยากาศอุ่นใจของ Notting Hill อีกครั้ง สามารถรับชมได้ทาง Prime Video ครับ

.

.

เรื่อง: Gaslight Café

.

ข้อมูลอ้างอิง: boxofficemojo.com

.

ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentários


bottom of page