“ฉันเกิดในรัชกาล Ryan Murphy” รู้จักตำนานผู้กำกับแห่งวงการทีวีอเมริกันกับผลงานสุดแสบสัน เขย่าขวัญ และเควียร์แบบตะโกน!
- The Showhopper Team
- 17 มิ.ย.
- ยาว 1 นาที

มีทุกอย่างที่ดีได้ในวันนี้ เพราะโตมากับซีรีส์ของไรอัน เมอร์ฟี คือไม่เกินจริง!
.
ข้อดี
✅ เก่งภาษาขึ้น 300% เพราะร้องเพลง Glee version ตอนอาบน้ำทุกวัน
✅ Horror น่ากลัวเบอร์ไหนก็ไม่หวั่น เพราะเจอใน AHS มาแล้วทุกแนว
✅ รู้ประวัติศาสตร์ LGBTQ+ ซอกแซก เพราะดู Pose หลายรอบ
.
ข้อเสีย
❎ ต่อบทกันทั้งวัน เพราะประโยค Iconic เยอะเกิน!
❎ ติดเสววววไปหน่อย เพราะเทสต์ที่สร้างมาโดยซีรีส์ของชี
.
สยองขวัญแหวะๆ element เสวๆ เพลงประกอบจึ้งๆ และตัวละครที่โคตรเควียร์แถมยังโคตร camp ได้กลายมาเป็นลายเซ็นอันจัดจ้านของ ไรอัน เมอร์ฟี หนึ่งในผู้กำกับเกย์เพียงหยิบมือที่โลดแล่นในวงการมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณภาพผลงานระดับแมสที่พิสูจน์ฝีมือมานักต่อนัก
.
แม้ยุคหลังเขาจะหันมาจับแนวทรูไครม์แล้วโดนวิจารณ์หนักเรื่องน้ำเสียงเห็นอกเห็นใจและยกยอฝั่งอาชญากรให้ดูดี โดยไม่คิดถึงใจเพื่อนและครอบครัวเหยื่อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานยุคก่อนๆ ของเมอร์ฟีนั้นเต็มไปด้วย legacy ของชุมชน LGBTQ+ ที่ยากจะลบเลือน
.
ไรอัน เมอร์ฟี (Ryan Murphy) เกิดเมื่อปี 1965 ในรัฐอินดีแอนาที่ฝ่ายอนุรักษนิยมเป็นใหญ่ เขาคัมเอาต์กับเพื่อนและครอบครัวว่าเป็นเกย์ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปีเท่านั้น และกล่าวถึงชีวิตช่วงนี้ว่า ตนได้รับการโอบรับโดยคนรอบข้างง่ายกว่าที่คิดเสียจนน่าประหลาดใจ หนึ่งในเหตุผลที่เมอร์ฟีคาดการณ์ไว้ คืออาจเป็นเพราะตนเองมีบุคลิกที่โดดเด่น มีความเป็นผู้นำสูง ทำให้ได้รับความนิยม อีกทั้งยังคบหากับกลุ่มเพื่อนที่ค่อนข้างป็อปในสังคมโรงเรียน เมอร์ฟีจึงผ่านชีวิตวัยรุ่นมาได้โดยไม่เจอมรสุมมากมายอย่างที่กลัว
.
หลังเรียนจบเขาใช้ชีวิตวัย 20 กว่าทำงานเป็นนักข่าวบันเทิงอยู่พักหนึ่ง ก่อนเส้นทางอาชีพผู้กำกับจะเริ่มต้นขึ้นด้วยซีรีส์แนวไฮสกูล Popular (1999-2001) มองเผินๆ ดูเหมือนชีวิตชีวิตฟุ้งเฟ้อของเด็กวัยรุ่น แต่กลับซ่อนประเด็นสังคมและภาพแทนคนเพศหลากหลายเอาไว้ในยุคที่ก่อนกาลสุดๆ น่าเสียดายที่สุดท้ายซีรีส์กลับโดนช่องเท ไม่สร้างซีซันต่อ นำมาซึ่ง Nip/Tuck (2003-2010) ผลงานถัดมาที่เป็นส่วนผสมของความเป็นซีรีส์การแพทย์ แฝงมุมจิตวิทยาดราม่าจัดๆ และประเด็นที่ถือว่าสีสันฉูดฉาดสุดๆ ในยุคนั้น นั่นคือการทำศัลยกรรมความงาม เป็นเหตุให้เขาได้รางวัล Emmy ถ้วยแรกมาครองในปี 2004
.
จากนั้น เมอร์ฟีจึงแจ้งเกิดอย่างจริงจังด้วยการสร้าง Glee (2009-2015) ซีรีส์ไฮสกูลที่ครองใจวัยรุ่นสายมิวสิคัลทั่วโลก ด้วยเซ็ตตัวละครหลักนิสัยดิว่าที่คนดูทั้งรักทั้งหมั่นไส้ ในยุคที่ยังไม่มีวายไทยให้ฟิน ส่วนวายญี่ปุ่นก็ยังต้องแอบอ่านกันใต้ดิน คู่ขวัญประจำซีรีส์อย่าง Brittana (บริตทานี x แซนทาน่า) และ Klaine (เคิร์ต x เบลน) จึงเป็นเหมือนโอเอซิสท่ามกลางทะเลทรายแห่งวงการโทรทัศน์ที่ยังตีตรา queer romance และปัดให้อยู่ในหมวด ‘เฉพาะทาง’
.
แล้วต่อมา จึงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่รัชสมัย horror ของเมอร์ฟีอย่างเป็นทางการด้วยซีรีส์ American Horror Story (AHS) ซึ่งเป็นช่วงที่เอกลักษณ์ความเป็น Murphyism เริ่มบ่มมาได้ที่ ด้วยรูปแบบ anthology ที่แต่ละซีซันขมวดจบในตัวมันเอง AHS เปิดโอกาสให้ตัวเมอร์ฟีและทีมงานได้สำรวจธีม เซ็ตติ้ง บทบาท และประเด็นที่หลากหลาย ด้วยรสชาติที่ซับซ้อนอันประกอบด้วยความน่าสะพรึงกลัว ความระทึกชวนติดตาม ความจิกกัดเสียดสี ความเวอร์วังกรุยกราย และความอีหยังวะ
.
และเนื่องในโอกาสเดือนแห่งการเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศ ผลงานสำคัญที่สุดของเมอร์ฟีที่ผู้เขียนยังคิดถึงอยู่เสมอ และอยากชวนชาวเพจโชว์ฮอปที่ยังไม่เคยดูไปลองดูสักครั้งในชีวิต คือ Pose (2018-2021)
.
ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้มีดีแค่ในฐานะละครโทรทัศน์ที่มีทีมงานและนักแสดง LGBTQ+ ขนาดใหญ่ที่สุดเท่านั้น เพราะต่อให้เราจะไม่พิจารณาเรื่องความหลากหลายเลย Pose ก็ยังนับว่าถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตที่บันเทิงที่สุด ตลกที่สุด โรแมนติกที่สุด กินใจที่สุด และอัดแน่นด้วยทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เราเคยเห็น
.
ไหนน~ ใครโตมากับซีรีส์เมอร์ฟีเรื่องไหนบ้าง มาแชร์กัน!
.
ที่มา:
.
Comments