สำรวจการแสดงออกอัตลักษณ์ทางเพศผ่านวรรณกรรมของนักเขียน LGBTQIAN+ จากกรีกโรมัน สู่ ยุคโมเดิร์น
- Theeranai S.
- 13 มิ.ย.
- ยาว 2 นาที

ประวัติศาสตร์ของเรื่องเล่าและเรื่องราวที่ตัวละครมีเพศอัตลักษณ์ไม่เป็นไปตามกรอบของสังคม
ล้วนแล้วแต่มีพัฒนาการผ่านช่วงเวลาต่าง ๆ ในแต่ละยุคสมัย เส้นทางของวรรณกรรม LGBTQ+ มีการเปลี่ยนแปลงตามแต่ละบริบทสังคม บ้างถูกลบเลือน บ้างถูกสรรเสริญ เป็นดั่งภาพสะท้อนถึงทัศนคติทางสังคมและบรรทัดฐานที่ท้าท้ายต่อมนุษย์เสมอ
.
เรื่องราวภายใต้มุมมอง ‘Queerness’ จากนักเขียนใต้ร่มของคำว่า 'เควียร์' (Queer) และเพศวิถีที่หลากหลาย เป็นสิ่งที่ถูกเขียนและจดบันทึกเรื่อยมาตั้งแต่ยุคบุกเบิกวรรณกรรม แม้เรื่องราวเหล่านี้จะถูกมองเป็นเรื่องชายขอบ แต่ก็ไม่พ้นที่จะซ่อนไว้ซึ่งวิถีการดำเนินชีวิตของมนุษย์ รวมทั้งบอกเล่าถึงโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรมในยุคนั้นได้เป็นอย่างดี วันนี้ The Showhopper จึงอยากชวนทุกคนสำรวจการเดินทางของวรรณกรรม LGBTQ+ และผู้เขียนในแต่ละบริบทที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
.
▫️ อารยธรรมกรีกและโรมัน
.
ความสัมพันธ์อันลึกซึ้งจากตัวละครเพศเดียวกันมักถูกเชื่อมโยงเข้ากับปกรณัมปรัมปรา ตำนานเทพและวีรบุรุษ ตัวอย่างเช่นมหากาพย์อิเลียด (The Iliad) ว่าด้วยเรื่องราวของพาทรอคลัส (Patroclus) และอคิลลีส (Achilles) สองวีรบุรุษแห่งสงครามกรุงทรอย หนึ่งในตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นถึงต้นตำรับความสัมพันธ์ชาย-ชาย ที่พ่วงไปด้วยวีรกรรมอันกล้าหาญและความเสียสละ จนกระทั่งในปี 2011 นวนิยายเรื่อง "The Song of Achilles" ของ Madeline Miller ถูกตีพิมพ์บอกเหล่าเรื่องราวอีกมุมผ่านสายตาพาทรอคลัส เพื่อนำเสนอความสัมพันธ์อันใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวระหว่างสองบุรุษในตำนาน
.
นอกจากความสัมพันธ์ชาย-ชายแล้ว บทกวีของกวีหญิงจากเกาะเลสบอนอย่างแซฟโฟ (Sappho) ได้รับการยกย่องว่าลึกซึ้งและมีวรรณศิลป์ที่งดงาม อีกทั้งยังสำรวจธีมความรักและความหลงใหลที่มีต่อผู้หญิง และทำให้แซฟโฟกลายเป็นรากฐานของคำว่า “sapphic” และเกาะเลสบอนก็กลายมาเป็นคำว่า “lesbian” ผลงานของเธอเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่ถูกตีความบิดพริ้วไปจากความหมายตั้งต้น อันเนื่องมากจากมุมมองของยุคสมัยถัดไปที่ส่งเสริมความรักต่างเพศให้เป็นรสนิยมเดียวที่มนุษย์พึงมี หลายครั้งเรื่องเควียร์จึงถูกบิดเบือนความจรืงในประวัติศาสตร์
.
▫️ สมัยฟื้นฟูศิลปวิทยา
.
ถึงแม้คริสตจักรในอิตาลีจะประกาศตนว่าไม่ยอมรับการรักร่วมเพศเพราะมองว่าเป็นการปฏิเสธธรรมชาติและการสืบพันธุ์ แต่ศิลปะในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) กลับเฉลิมฉลองและแสดงออกให้เห็นว่าความสัมพันธ์แบบชาย-ชายนั้นเป็นเรื่องปกติ เช่น "The Decameron" ผลงานของโจวันนี บอกคัชโช (Giovanni Boccaccio) ที่ว่าด้วยเรื่องนิทาน 10 เรื่องจาก 10 หนุ่มสาวตระกูลร่ำรวยในเมืองฟลอเรนซ์ที่ออกนอกเมืองเพื่อหนีกาฬโรค ซึ่งเดิมทีมีการสอดแทรกเนื้อหาที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์เพศเดียวกันไว้มากมาย แต่ผู้แปลชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 17 และ 18 ได้ตั้งใจตัดส่วนนี้ออกไป
.
▫️ ยุคเรืองปัญญา และคริสต์ศตวรรษที่ 19
.
ยุคเรืองปัญญา (Enlightenment) ช่วงเวลาแห่งการถกเถียงถึงหลักการและเหตุผล ถึงกระนั้นนักเขียนวรรณกรรม LGBTQ+ ยังคงต้องซ่อนความเป็นเควียร์ไว้ผ่านการอ้างอิงและใช้ตัวละครในตำนานกรีกโรมันแทนการเล่าตรง ๆ เนื่องจากอำนาจคริสตจักรยังคงสร้างรากฐานทางกฎหมายเพื่อต่อต้านรักร่วมเพศ วรรณกรรม LGBTQ+ ที่สำคัญในศตวรรษที่ 19 ได้แก่ "Nana" ของเอมิล โซลา (Emile Zola) ที่มีฉากเลสเบียนและตัวละครที่เป็นเกย์, "Carmilla" ของโจเซฟ แชริดัน เลอฟานู (Joseph Sheridan Le Fanu) ซึ่งเป็นเลสเบียนแวมไพร์เรื่องแรก, และ "The Picture of Dorian Gray" ของออสการ์ ไวลด์ (Oscar Wilde) ว่าด้วยเรื่องราวของนักรักร่วมเพศผู้เสพสุข ไวลด์คือหนึ่งในนักเขียนผู้ถูกจำคุกจากการแสดงออกทางความรักแม้ในที่ส่วนตัว ซึ่งสะท้อนถึงความเสี่ยงทางกฎหมายต่อเพศอัตลักษณ์ที่ไม่เป็นไปตามกรอบของสังคมที่เพิ่มขึ้น
.
▫️ คริสต์ศตวรรษที่ 20
.
ในศตวรรษที่ 20 มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในสิทธิของ LGBTQ+ มีการเอาผิดทางอาญาและลดทอนความเป็นเควียร์เรื่อยมา ถึงกระนั้นวรรณกรรมเควียร์ก็เติบโตและเบ่งบานมาโดยตลอด ช่วงต้นถึงกลางศตวรรษที่ 20 มีผลงานสำคัญ เช่น "Orlando" (1928) ของเวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Woolf) ที่นำเสนอความสัมพันธ์แบบหญิง-หญิง, "Reflections in a Golden Eye" (1941) ของคาร์สัน แมคคัลเลอส์ (Carson McCullers) ว่าด้วยเรื่องราวของหลากหลายผู้คนในค่ายทหาร, และ "Giovanni’s Room" (1956) ของเจมส์ บอลด์วิน (James Baldwin) ที่บรรยายถึงความสัมพันธ์และตัวละครเควียร์ที่ลึกซึ้ง ในช่วงปลายศตวรรษที่ 20 นักเขียนหลายท่านได้เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ทางการเมือง และการใช้ชีวิตในฐานะเควียร์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะหลังจากการจลาจลสโตนวอลล์ในปี 1969 ‘Stonewall riots’ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของนักเขียนเควียร์ที่กล้านำเสนอเรื่องราวของตนเองอย่างเปิดเผยและกล้าหาญมากยิ่งขึ้น
.
▫️ ยุคร่วมสมัย
.
การต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมในศตวรรษที่ 21 ทำให้กระแสของวรรณกรรมเควียร์มีความร่วมสมัยอยู่เสมอ อีกทั้งสิทธิทางกฎหมายของ LGBTQ+ ก็ได้เริ่มเบ่งบานในหลายพื้นที่ และนิยายเควียร์สมัยใหม่ก็เกิดขึ้นมากมาย เช่น นิยายรอมคอมอย่าง "What If It’s Us" ของเบ็คกี้ อัลเบอร์ทัลลี (Becky Albertalli), นิยายวัยรุ่นเควียร์อย่าง "She Drives Me Crazy" ของเคลลี่ ควินเลน (Kelly Quindlen), นิยายที่ถูกดัดแปลงเป็นภาพยนตร์อย่าง "Red, White & Royal Blue" ของเคซีย์ แมคควิสตัน (Casey McQuiston), และนิยายโดยนักเขียนข้ามเพศอย่าง "Detransition, Baby" (2021) ของทอร์รีย์ ปีเตอร์ส (Torrey Peters) ที่พยายามสร้างความเข้าใจและเปิดใจให้กับผู้อ่านผ่านการสำรวจเรื่องเพศ ความเป็นพ่อแม่ ความรัก และชีวิตของคนข้ามเพศ
.
วิวัฒนาการของวรรณกรรมสะท้อนและท้าทายทัศนคติทางสังคมในแต่ละยุคสมัยมาอย่างต่อเนื่อง ทุกเรื่องราวไม่เพียงแต่เป็นประตูสู่การทบทวนประวัติศาสตร์ แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนให้คนยุคต่อไปมองเห็นความสำคัญของการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียม ไม่ว่าตัวอักษรบนกระดาษจะเป็นสีไหน เฉดใด มันจะยังคงส่งเสียงและบอกความในใจที่ซ่อนอยู่ อีกทั้งหล่อหลอมความเป็นมนุษย์และทัศนคติของเราต่อสิ่งต่าง ๆ รอบตัว ทั้งความรัก ความสัมพันธ์ สังคม และประวัติศาสตร์ของคนทุกเฉดสีทุกอัตลักษณ์ ผ่านพลวัตของเวลาในทุกยุคทุกสมัยต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
.
.
เรื่อง: Theeranai S.
.
ที่มา:
.
Comments