The Bear Season 4 ยังยืนหยัดในเสน่ห์แนวใหม่ของซีรีส์ทำอาหารที่ไม่ได้มีแค่เสียงตะโกน ‘Yes, chef!’
- The Showhopper Team
- 7 ส.ค.
- ยาว 1 นาที

น่าแปลกที่ ‘โทสะ’ กลายมาเป็นอารมณ์แรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเมื่อพูดถึงหนัง ซีรีส์ รวมไปถึงรายการเรียลลิตี้ที่มีเซ็ตติ้งในห้องครัว
.
เราโตมากับความโหดเฮี้ยบของ ‘เชฟแรมซีย์’ แห่ง “Hell’s Kitchen”
เราระทึกไปกับความเกรี้ยวกราดของ ‘เชฟพอล’ แห่ง “Hunger คนหิว เกมกระหาย”
เราชื่นชมงานศิลปะในจานอาหารอันเป็นผลผลิตจากความเคียดแค้นของ ‘เชฟสโลวิก’ แห่ง “The Menu”
.
“The Bear” เองก็เป็นอีกหนึ่งผลงานที่ถ่ายทอดโทสะ (และความประสาทแ*ก) ของคนครัวออกมาได้เซอร์เรียล ตลกธรรมชาติ และในขณะเดียวกันก็สดดิบจนน่าทึ่ง เป็นเหตุให้ปัจจุบัน The Bear เติบโตมาเป็นอสุรกายน่าสะพรึงกลัวในหมู่ซีรีส์แนวคอเมดี้ ที่ฉี่จองอันดับเสนอเข้าชิงในรางวัล Emmy หลากสาขามา 3 ปีซ้อน และดูท่าว่าจะเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกอย่างน้อยๆ ก็ 2 ปี เพราะล่าสุดหลังซีซัน 4 ออกฉาย The Bear เพิ่งได้รับการ renew ให้ผลิตซีซัน 5 ต่ออย่างรวดเร็ว
.
SPOILERS ALERT: มีการสปอยล์เนื้อหาส่วนสำคัญของซีซัน 3-4
.
ความประทับใจหลังผู้เขียนดูซีซัน 4 จบ คือแม้ซีรีส์เรื่องนี้จะไม่เคยทิ้งลายความวุ่นวายคล้ายสนามรบขนาดย่อม ทั้งในห้องครัวและในครอบครัว แต่ The Bear ยังยืนหยัดที่จะมอบมิติอื่นๆ ที่ซับซ้อนและอ่อนโยนให้กับคนดู ผ่านบทสนทนาที่มีความ hyperrealistic
.
กลับมาคราวนี้ ซีซัน 4 เริ่มต้นด้วยนาฬิกานับถอยหลังของลุงจิมมีเจ้าของเงินทุนที่มาพร้อมกับคำขาด คือ ภายใน 1,440 ชั่วโมง (ประมาณ 2 เดือน) ที่เหลือ หาก The Bear ที่ขาดทุนมาตลอดยังเอาตัวเองไม่รอดอยู่อย่างนี้ ก็จะต้องปิดตัวลงอย่างไม่มีเงื่อนไข ถือเป็นการเซ็ตมู้ดเร่งรีบและลนลาน เนื่องจากต้องพัฒนาแข่งกับเวลาให้กับทุกตัวละครที่เหลือ
.
แง่มุมหนึ่งที่ผู้เขียนเห็นว่า The Bear ทำได้ดีมาตลอด และได้รับการขับเน้นให้โดดเด่นในซีซันนี้ คือ เหล่าตัวละครหญิงที่พยายามหาที่ทางของตัวเองในร้านอาหารไฟน์ไดนิงซึ่งรู้กันว่าเป็นพื้นที่ที่ผู้ชายครองทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นในห้องครัวหรือในห้องอาหาร
.
ซีซันนี้ ซิดนีย์ (Ayo Edebiri) เติบโตขึ้นอีกขั้นในฐานะหัวหน้าครัวร้อนและคู่หูที่พึ่งพาได้ของ คาร์มี (Jeremy Allen White) และไม่ใช่แค่เพียงเท่านั้น เธอแสดงความเป็นผู้นำแต่ก็ยังเข้าอกเข้าใจคนทำงาน เป็นหัวหน้าในแบบที่คาร์มีอยากจะเป็นแต่ไม่อาจเป็นได้ สำหรับซิดนีย์ ซีซัน 4 รับไม้สานต่อคอนฟลิกต์หลักของซีซันก่อน คือในจังหวะที่ The Bear กำลังล้ม เธอได้รับการทาบทามจากอดีตเพื่อนร่วมงานที่กำลังจะเปิดร้านอาหารไฟน์ไดนิงอีกแห่ง โดย EP4 “Worms” ที่เอโยร่วมเขียนบทกับ Lionel Boyce (ผู้รับบทมาร์คัส) คือตอนที่เขียนเพิ่มมาเป็นพิเศษเพื่อสำรวจความคิดในหัวของซิดนีย์ ที่ตีกันยุ่งเหยิงกระทั่งในวันหยุดที่เธอมีนัดทำผม
.
เราเซอร์ไพรส์มากที่ได้รู้ว่าแรกเริ่มเดิมทีผู้สร้างซีซันนี้ไม่ได้วางตอน “Worms” เอาไว้แต่แรก แต่มาต่อยอดไอเดียเอาทีหลัง เพราะหากขาดตอนนี้ไป การตัดสินใจไปต่อกับ The Bear ของซิดนีย์คงจะดูขาดมิติบางอย่างไปอย่างเห็นได้ชัด ถือเป็นหนึ่งตอนที่ไม่ควรพลาด และเป็นตอนโปรดของเราในซีซันนี้ ตีคู่มากับ EP7 “Bears” งานแต่งป่วนๆ ที่ทุกคนบังเอิญได้มานั่งเปิดใจกันใต้โต๊ะ (แต่ยังไม่มีตอนไหนล้มแชมป์ “Fishes” EP6 ของซีซัน 2 ได้!)
.
แม้จะไม่มีตอนที่อุทิศทั้งตอนให้กับตัวละคร ทีน่า (Liza Colón-Zayas) ซูเชฟหญิงเชื้อสายลาตินผิวดำเหมือนซีซันที่แล้ว แต่โชคดีที่บทของเธอยังค่อนข้างโดดเด่น ความกระหายพัฒนาการของเธอถูกแซมมาให้เห็นตอนละนิดละหน่อยตลอดทั้งซีซัน เช่นเดียวกับ ริชชี่ที่ไม่หยุดพยายามเขียนคำพูดปลุกใจก่อนเปิดร้าน เอบราที่ไม่หยุดพยายามเพิ่มศักยภาพให้กับฝั่งร้านแซนด์วิช สวีปส์ที่ไม่หยุดพยายามเรียนรู้เรื่องไวน์ หรือแม้แต่แก๊งแฟ็คที่อยากเป็นพนักงานที่เข้ากับบรรยากาศไฟน์ไดนิงมากขึ้น
.
โดยรวม The Bear ซีซัน 4 อาจจะยังไม่เทียบชั้นซีซัน 2 แต่ถือว่าเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ที่หยอดเอาไว้ในเส้นเรื่องเป๋ๆ ของซีซัน 3 เริ่มผลิดอกออกผลแล้วในซีซันนี้ ยังไม่นับตอนจบที่ตึงเครียดและเด็ดขาดเกินคาดอีก หากจะเรียกว่าผู้กำกับคริสโตเฟอร์ สโตเรอร์ คืนฟอร์มแล้วในซีซันนี้ก็คงไม่ผิด The Bear กลับมาเป็นซีรีส์เรื่องเดิมเรื่องนั้น เรื่องที่พาตัวละครพังๆ จากครอบครัวพังๆ กลับมาเชื่อมสัมพันธ์และเยียวยากัน เรื่องที่บันดาลใจให้คนดูอยากเป็นส่วนหนึ่งของร้านอาหารใกล้เจ๊งสักร้าน หรือครอบครัวพังๆ ที่เต็มไปด้วยความรักสักครอบครัว
.
#TheShowhopper #TheBear #TheBearSeason4 #DisneyHotstar #Series #เดอะแบร์ #ซีรีส์ทำอาหาร














ความคิดเห็น