top of page
รูปภาพนักเขียนเจนจิรา หาวิทย์

“The Tortured Poets Department” ไม่ต้องโยงเรื่องแฟนเก่าให้วุ่นวาย เพราะอัลบั้มนี้อาจเป็นข้อความถึง 'สวิฟตี้' โดยตรง!



แมตตี้.. โจ.. หรือใครกันแน่!? 🧐

.

🎶 เรียกได้ว่าเป็นกระแสฮือฮามากเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังแม่เทย์กระหน่ำปล่อยผลงาน 2 อัลบั้ม 31 เพลง ในความยาวเพลงละ 3-5 นาทีกันไปเลยแบบจุกๆ! ภายใต้ชื่อแผนกกวีชีช้ำ “The Tortured Poets Department” และ “The Tortured Poets Department: The Anthology” ซึ่งตามธรรมเนียมของเหล่า ‘สวิฟตี้’ เมื่อแม่ขยันสร้างงาน แฟนเพลงก็ขยันวิเคราะห์ไม่แพ้กัน เพราะศิลปินสาย Lyricist อย่างเทย์เลอร์ต้องไม่พลาดที่จะใส่ความหมายลงไปในทุกๆ ตัวอักษรของเธอแน่นอน

.

ทำให้หลายคนไล่อ่านเนื้อเพลงแม่กันแบบคำต่อคำ แต่ผลลัพธ์กลับมีแต่ความสับสน เพราะข้อความต่างๆ ดูมีความคลุมเครือกว่าอัลบั้มอื่น อีกทั้งการสื่อสารของเทย์เลอร์ในอัลบั้มสองชุดนี้ก็มีความ หม่น ดาร์ก ตรงไปตรงมามากกว่าครั้งไหนๆ แฟนเพลงเลยก็เริ่มเอ๊ะว่า หรือการร่ำระบายครั้งนี้จะไม่ใช่เพียงเรื่องความสัมพันธ์ที่ล้มเหลวครั้งก่อน แต่เป็นการพูดถึง ‘ความทุกข์’ ในฐานะศิลปินของเธอ? รวมถึงความรู้สึกที่เธอมีต่อแฟนคลับที่ทั้งเปี่ยมไปด้วยความยินดีและความอึดอัดในบางคราที่ชีวิตถูกรุกล้ำมากเกินไป

.

วันนี้ The Showhopper เลยขอนำการตีความเหล่านี้มาเล่าให้ทุกคนอ่านเพิ่มฟีลระหว่างสตรีมเพลงแม่ยาวๆ 31 เพลง 📖👀

.

🗨 สื่อใหญ่อย่าง TIME Magazine เผยแพร่บทความวิเคราะห์ (เขียนโดย Moises Mendez II) โดยหยิบยก 2 เพลงจากอัลบั้มนี้มาพูดถึงว่าหลังจากความสำเร็จสูงสุดทางอาชีพจากการขายเวิล์ดทัวร์หมดเกลี้ยงทุกที่นั่ง และการขึ้นแท่นเป็นเศรษฐีพันล้านอย่างเป็นทางการ เธอกำลังเผชิญกับผลพวงที่ได้มาพร้อมชื่อเสียงที่ไม่น่าอภิรมย์นัก

.

💿 เพลงแรกที่ถูกพูดถึงคือ “But Daddy I Love Him,” ที่คาดว่าเล่าถึงชีวิตของเธอช่วงคบหาสั้นๆ กับ Matty Healy (The1975) หลังเลิกรากับ Joe Alwyn 💿

.

“I'll tell you somethin' right now,

I'd rather burn my whole life down,

Than listen to one more second of all this bitchin' and moanin',”

.

(ฉันจะบอกอะไรเธออย่างหนึ่ง ฉันขอเผาชีวิตตัวเองให้มอดไหม้

ดีกว่าต้องทนฟังพวกเธอร่ำร้องหรือก่นด่าเพียงวินาที)

.

🗨 ณ ตอนนั้นมีกระแสเชิงลบตีกลับกับความสัมพันธ์ครั้งนี้ของเธออย่างหนัก เนื่องจากพ่อหนุ่มแมตตี้ไปสร้างเรื่องบนหน้าสื่อไว้หลายอย่าง ทั้งการพูดจาเชิงเหยียดเพศ เหยียดเชื้อชาติ และแสดงความเห็นทางการเมืองที่ไม่เหมาะสม แฟนๆ เลยมองว่าหากเทียบกับเทย์เลอร์ที่ถูกชื่นชมเรื่องทัศนคติที่ดีในหลายด้าน ผู้ชายคนนี้ถือว่าไม่ผ่านอย่างมาก ซึ่งบางกระแสถึงขั้นออกมาตั้งคำถามถึงจุดยืนของเทย์เลอร์ ว่าจริงๆ แล้วเธอเป็นคนที่เรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศอย่างที่นำเสนอตัวเองหรือไม่ถึงสามารถคบคนที่มี ‘ชื่อเสีย’ แบบนั้นได้

.

“I'll tell you somethin' 'bout my good name,

It's mine alone to disgrace,

I don't cater to all these vipers dressed in empath's clothing.”

.

(ฉันจะบอกให้ เกี่ยวกับชื่อเสียงอันดีงามของฉัน

มีแค่ฉันคนเดียวที่จะทำมันแปดเปื้อนได้

ฉันขอไม่ให้ค่างูพิษในคราบผู้หวังดี)

.

และท่อน Bridge ที่สุดจี๊ดใจว่า..

.

“God save the most judgmental creeps,

Who say they want what's best for me,

Sanctimoniously performing soliloquies I'll never see,”

.

(พระเจ้าโปรดคุ้มครองพวกชอบตัดสิน

พวกที่บอกว่าอยากให้ฉันได้สิ่งที่ดีที่สุด

นี่เหมือนการแสดงเดี่ยวอันศักด์สิทธิ์ที่ฉันไม่มีวันได้เห็น)

.

และปิดท้ายเพลงแบบแสบๆ ว่า “does a funny thing to pride, but brings lovers closer.” (เรื่องน่าขันที่พวกเธอภาคภูมิใจกัน มันทำให้พวกเรารักกันมากขึ้น)

.

🗨 สิ่งนี้เปรียบเสมือนการขีดเส้นหนาๆ ใส่แฟนคลับหลายคนที่เอาเรื่องส่วนตัวของเธอไป ‘อินเกิน’ ว่าจงปล่อยให้เรื่องของเธอเป็นแค่เรื่องของเธอเถอะ โดยเฉพาะกับความสัมพันธ์ที่เธอตัดสินใจเลือกเอง

.

💿 ต่อมาคือเพลง “Clara Bow” 💿

.

ซึ่งเป็นเพลงโปรดอันดับหนึ่งของผู้เขียนจากอัลบั้มนี้เพราะเทย์เลอร์ใช้การเล่าเรื่องเชิงเปรียบเทียบได้สวยงามมากๆ โดยชื่อเพลงนี้เป็นชื่อของดาราดังจากยุค Classical Hollywood ปลาย 1920s ในตอนนั้น คลาร่าคือนักแสดงหนังเงียบที่ไม่ต่างจากเซเลป ‘It Girl’ ในปัจจุบัน ด้วยแววตาโตชวนฝันปนเศร้าสร้อย ใบหน้าละม้ายคล้ายตุ๊กตา กับพื้นเพการสู้ชีวิตจากเด็กสาวธรรมดาที่เติบโตมากับแม่ผู้มีปัญหาทางจิตใจแต่ก็ฝ่าฟันจนได้เข้ามาในวงการบันเทิง ทำให้เธอเป็นที่รัก และเธอมีหลายอย่างคล้ายกับเทย์เลอร์มาก 🧍‍♀️🧍‍♀️

.

แม้จะมีคนรักมากมาย แต่ชีวิตส่วนตัวของเธอกลับถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเรื่องความสัมพันธ์ เธอกลายเป็นที่ชังของนักแสดงหญิงหลายคนในวงการตอนนั้น เพราะถูกมองว่าเป็นคนเปิดเผยชีวิตส่วนตัวมากเกินไป ต่อมาชื่อเสียงก็ทำร้ายเธอจนทำให้ประสบปัญหาความเครียดและอาการนอนไม่หลับจนต้องใช้ยาและเสียชีวิตจากการใช้ยาเกินขนาดในที่สุด.. “Elaine Shepherd” เพื่อนร่วมวงการพูดถึงการจากไปของคลาร่ากับสำนักข่าว BBC ว่า “ค่ายให้เธอทำงานหนักจนตาย”

.

กลับมาที่เพลง.. เทย์เลอร์เล่าเพลงนี้ด้วยการเปรียบเทียบ 3 ช่วงตอน ในสองช่วงแรกเป็นการเปรียบเทียบศิลปินเหล่านั้นกับตัวเธอเอง เริ่มที่ “Clara Bow”

.

"You look like Clara Bow in this light

Remarkable

All your life, did you know

You'd be picked like a rose

..

I'm not trying to exaggerate

But I think I might die if it happened"

.

(เธองดงามเหมือน “Clara Bow” ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอจะรู้ไหม

ว่าเธอจะถูกเด็ดไปดอมดมเหมือนดอกกุหลาบ

ไม่ได้พูดเวอร์นะ แต่ถ้าฉันเจอแบบเธอ ฉันคงตายไปแล้ว)

.

ต่อด้วยการเปรียบเทียบตนกับ “Stevie Nicks” นักร้องนำจากวง Fleetwood Mac ที่คาดว่าถูกกล่าวถึงจากทั้งความชื่นชมส่วนตัวของเทย์เลอร์และระดับความดังของสตีวี่

.

“You look like Stevie Nicks

In '75, the hair and lips

Crowd goes wild at her fingertips

Half moonshine, a full eclipse

..

No one in my small town

Thought I'd meet these suits in LA,"

.

(เธอดูเหมือน “Stevie Nicks” ในช่วงปี ‘75 ทั้งสีปากและทรงผม

ผู้ชมแทบคลั่งเมื่อเธอทำการแสดง

เหมือนครึ่งหนึ่งของแสงจันทร์ และสุริยุปราคา

ไม่มีใครในเมืองเล็กๆ นั่น เชื่อว่าฉันจะได้มาเซ็นสัญญาที่ LA)

.

แล้วเธอก็ปิดท้ายด้วยการพูดถึงตัวเอง แต่ในรอบนี้เป็นการสื่อความหมายว่า เดี๋ยววันหนึ่งก็จะมีศิลปินหน้าใหม่ถูกเปรียบเทียบกับเธอ และต้องเผชิญกับความโหดร้ายของอุตสหากรรมบันเทิงนี้ไม่ต่างกัน บอกเลยว่าขนลุก!

.

"You look like Taylor Swift

In this light

We're loving it.

You've got edge she never did

The future's bright.. Dazzling."

.

(เธอดูเหมือน “Taylor Swift” แต่ดูกล้าจะท้าทายสิ่งต่างๆ มากกว่าเธอ

อนาคตเธอจะสดใส พร่างพราว)

.

ซึ่งเราต่างรู้ว่ามันไม่ใช่ความพร่าวพราวเลยสักนิดสำหรับเธอ..

.

เรื่อง: เจนจิรา หาวิทย์

.

ที่มา:

- https://people.com/who-is-clara-bow-all-about-actress...

.

ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page