top of page
รูปภาพนักเขียนApisit Saengkham

"The Wonderful Story of Henry Sugar" ซีรีส์ใหม่ทางเน็ตฟลิกซ์"



เมื่อ Netflix ควักเงินซื้อทั้งจักรวาลของ Roald Dahl มาครอบครองไว้ด้วยราคาสูงถึง 686 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีผลงานเปิดเรื่องแรกกับภาพยนตร์เพลง Matilda the Musical เมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา สัปดาห์นี้ผลงานเรื่องต่อไปในจักรวาลของดาห์ลจะมาสู่ท่านผู้ชมกันแล้ว เป็นการดัดแปลงเรื่องสั้น 4 เรื่องจากหนังสือ The Wonderful Story of Henry Sugar and Six More (1977) ให้กลายเป็นมินิซีรีส์ ผ่านวิสัยทัศน์ของผู้กำกับขวัญใจวัยรุ่นอย่าง Wes Anderson ที่เพิ่งมีผลงานให้เราได้ชมไปหมาดๆ ในภาพยนตร์ Asteroid City


นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่แอนเดอร์สันดัดแปลงเรื่องราวของโรอัลด์ ดาห์ลมาเป็นภาพยนตร์ เขาเคยดัดแปลงเรื่อง The Fantastic Mr.Fox ให้เป็นแอนิเมชันสต็อปโมชันขนาดยาวมาแล้วในปี 2009 ซึ่งก็เป็นหนึ่งในหนังที่ทั้งนักวิจารณ์และผู้ชมหลงรัก แต่สำหรับ The Wonderful Story of Henry Sugar แอนเดอร์สันอยากดัดแปลงเรื่องนี้ให้เป็นหนังมานานแล้ว ตั้งแต่ตอนที่ได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่ที่ Gipsy House บ้านพักของดาห์ลที่บักกิงแฮมเชอร์ ประเทศอังกฤษ


Henry Sugar เป็นเรื่องราวของชายที่รวยล้นฟ้าและได้เรียนรู้ที่จะเป็นกูรูผู้สามารถมองเห็นได้โดยที่ไม่ต้องใช้ตา และตั้งใจอยากได้สกิลนี้มาเพื่อโกงการพนัน ตอนแรกแอนเดอร์สันพยายามพัฒนาให้เป็นภาพยนตร์ขนาดยาว แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจทำให้เป็นภาพยนตร์สั้นความยาว 42 นาทีแทน เพื่อให้เราได้เซนส์เหมือนเรื่องสั้นต้นฉบับของดาห์ล เขายังบอกอีกว่าอยากทำเรื่องนี้มากๆ ตั้งแต่เด็ก แต่ก็คิดไม่ตกว่าจะทำอย่างไรดี จนกระทั่งวันหนึ่งเขาตกตะกอนได้ว่า สิ่งที่เขาชอบในเรื่องนี้ไม่เพียงแค่เรื่องราวที่ดาห์ลเขียน แต่เป็นคำบรรยายที่เขียนไว้ในหนังสือ


เขาเลยคิดออกว่า หากจะทำหนังเรื่องนี้ เขาจะต้องไม่เอาคำของดาห์ลมาดัดแปลงเป็นบทพูด แต่หนังทั้งเรื่องจะต้องถูกเล่าโดยคำบรรยายของดาห์ลเป๊ะๆ ตามในหนังสือทุกคำ ซึ่งกว่าจะได้ไอเดียนี้มาก็ใช้เวลามากถึง 20 ปีเลยทีเดียว และเป็นโชคดีของแอนเดอร์สันที่ภรรยาของดาห์ลอย่าง Felicity Dahl และหลานชายอย่าง Luke Kelly แอบเก็บสิทธิ์ดัดแปลงเรื่องนี้ไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่เขาได้ไปใช้ชีวิตตอนนั้นที่อังกฤษ


แอนเดอร์สันบอกว่าเรื่องราวของดาห์ลนั้นไม่เพียงโด่งดังระดับโลกที่ไม่ว่าใครก็รู้จัก แต่สำหรับเขาและเด็กๆ จะคุ้นเคยกับเสียงของดาห์ลเป็นอย่างมาก คุ้นเคยชนิดที่ว่าเหมือนรู้จักเป็นการส่วนตัว เขาคิดว่าถ้าเล่าเรื่องนี้โดยใช้คำบรรยายจากในหนังสือจริงๆ โดยไม่ผ่านการดัดแปลง เขาจะยังเก็บ Sense นี้ไว้ได้ เพื่อจะส่งต่อเรื่องราวให้กับผู้ชมรุ่นใหม่ได้รู้สึกใกล้ชิดและ “รู้จัก” กับเรื่องนี้ในแบบที่เขาได้สัมผัสอีกด้วยครับ


พอคิดได้อย่างนั้น สิ่งแรกที่แอนเดอร์สันทำก็คือหาคนมาเล่นเป็นโรอัลด์ ดาห์ล เมื่อหนังจะถูกเล่าโดยเป็นดาห์ลพูดให้ฟังใส่กล้องตรงๆ แอนเดอร์สันเลยตัดสินใจเลือกนักแสดงคู่ใจอย่าง Ralph Fiennes จาก The Grand Budapest Hotel หรือที่เรารู้จักกันดีจากบทบาท Lord Voldermort ในมหากาพย์ Harry Potter มารับบทสำคัญนี้ ซึ่งยิ่งทำให้เขาอยากทำเรื่องนี้ขึ้นไปอีกพอ Fiennes รับเล่น และ Fiennes นี่ละครับจะเป็นคนยืนเรื่องทั้งใน The Wonderful Story of Henry Sugar และในหนังสั้นอีก 3 เรื่องจากปลายปากกาของดาห์ล ได้แก่ The Swan (เรื่องราวของเด็กน้อยที่ถูกเพื่อนสองคนกลั่นแกล้ง) The Rat Catcher (เรื่องสั้นของเกี่ยวกับคนกำจัดหนู) และ Poison (เรื่องของชายผู้ค้นพบงูพิษบนเตียงของเขา)


อีกสิ่งหนึ่งที่แอนเดอร์สันเลือกใช้ในการเล่าเรื่องนี้ ก็คือพอเรื่องถูกบรรยายโดยดาห์ลตรงๆ เขาเลยสร้างให้หนังทั้งเรื่องเหมือนเป็นละครเวทีขนาดย่อม พอบรรยายเรื่องราวไป ฉากต่อไปก็สามารถเข้าออกได้อย่างอิสระจากทุกทิศทาง มีการใช้ไฟแบบในละครเวทีเพื่อให้โฟกัสเรื่องราวและตัวละครระหว่างที่กำลังถูกเล่า เสมือนว่าเรากำลังดูละครเวทีอยู่ ซึ่งเป็นเทคนิคที่เขาเพิ่งใช้ไปในหนังเรื่องล่าสุดอย่าง Asteroid City นั่นเอง


และยิ่งไปกว่านั้นยังใช้นักแสดงเซ็ตเดียวกันทั้งสี่เรื่องอีกด้วย มีเพียงแค่ Ralph Fiennes เท่านั้นที่ยืนพื้นเป็นดาห์ลเพื่อบรรยายเรื่องราวให้เราฟังในทุกตอน ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับ Repertory Theatre ที่ใช้นักแสดงเซ็ตเดียวกันสลับบทบาททั้งซีซั่นการแสดง ซึ่งสำหรับ​ The Wonderful Story of Henry Sugar มี Benedict Cumberbatch นำแสดงเป็น Henry Sugar ชายหนุ่มรวยล้นฟ้าผู้คิดอยากโกงการพนัน Ben Kingsley รับบทชายผู้สามารถมองเห็นได้โดยไม่ต้องใช้ตา และนอกจากนี้ยังมีนักแสดงอย่าง Dev Patel, Richard Ayoade และ Rupert Friend ร่วมสมทบ ซึ่งทั้งสี่คนจะเปลี่ยนบทบาทของตัวเองไปตามเรื่องราวทั้ง 4 ตอน


The Wonderful Story of Henry Sugar เปิดตัวครั้งแรกที่เทศกาลภาพยนตร์นานานาชาติเวนิสในปีนี้ พร้อมคำวิจารณ์ที่ดีแบบล้นหลาม (ดียิ่งกว่าหนังยาว Asteroid City ที่เปิดตัวในเทศกาลหนังเมืองคานส์ในปีนี้เสียอีก) การันตีด้วยตรา Must-See จากเว็บไซต์ Metacritic ด้วยคะแนนกว่า 84 คะแนน และ 96 คะแนนจาก Rotten Tomatoes ซึ่งฉันทามติของเว็บไซต์สรุปไว้ว่า “His distinctive style is a comfortable fit for one of the author’s sweetest stories” เรียกได้ว่างานเขียนของดาห์ลกับงานภาพยนตร์ของแอนเดอร์สันนี่เป็นของคู่กันเลยละครับ


และสำหรับใครที่ชื่นชอบสไตล์ภาพและการจัดเฟรมแบบแอนเดอร์สันบอกเลยครับว่าไม่ผิดหวังแน่นอน นักวิจารณ์ชื่อดัง David Ehrlich จาก Indiewire กล่าวชื่นชมไว้ว่า “เป็นภาพยนตร์ของแอนเดอร์สันที่งานภาพสร้างสรรค์สุด และแม้หน้าตาจะเหมือนหนังแอนเดอร์สันเรื่องอื่นๆ แต่เราไม่เคยเห็นเขาใช้วิธีนี้แบบเต็มๆ มาก่อน ทั้งแปลกตา แต่ก็ยังคงความเป็นตัวตนแอนเดอร์สันเต็มเปี่ยม” แถมยังบอกอีกว่าแม้จะเป็นหนังสั้น แต่ก็สำคัญและดีงามไม่แพ้หนังยาวเรื่องอื่นๆ ของเขาเลย


วันนี้เราจะสามารถรับชมได้แล้ว 3 เรื่องใน Netflix อันได้แก่ The Wonderful Story of Henry Sugar, The Swan และ The Rat Catcher ส่วนเรื่องสุดท้ายอย่าง Poison จะลงวันพรุ่งนี้ (วันเสาร์ที่ 30 กันยายน) ตั้งแต่เวลา 15:00 น. เป็นต้นไป ซึ่งมาทั้งแบบซาวด์แทร็กค์และพากษ์ไทยอีกด้วย โดยพากษ์ไทยของหนังทั้งสี่มาพร้อมกับการกำกับพากษ์โดย ตี๋ - รัตนชัย เหลืองวงษ์งาม ผู้ดูแลเสียงพูดพากษ์ไทยของภาพยนตร์อย่าง Encanto จากดิสนีย์สตูดิโอ ซึ่งเป็นหนังเพลงอลังการ เนื้อเรื่องเข้มข้น, Vivo และ Tick, Tick…BOOM! ที่เราเคยไปสัมภาษณ์มาแล้วอีกด้วย บอกเลยครับว่าสำหรับสาวกเวส แอนเดอร์สันและโรอัลด์ ดาห์ล เรื่องนี้ไม่ควรพลาดเลย


ติดตามบทสัมภาษณ์ ตี๋-รัตนชัย เหลืองวงศ์งาม ผู้กำกับการพากย์ได้ที่ https://plus.thairath.co.th/topic/subculture/102535


เรื่อง: #BroadwayBoy



ดู 2 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comentários


bottom of page