top of page
รูปภาพนักเขียนBloomsbury Girl

เพราะชีวิตนักฝันย่อมมี 'จุดเปลี่ยน' โมเมนต์พลิกดินสู่ดาวของ 3 ตัวแม่ Power Balled จากยุค 90s



คงเพราะโตมากับเสียงร้องอันทรงพลังของแม่ๆ บางครั้งเราเลยรู้สึกราวกับว่า ไม่เคยมียุคไหนในประวัติศาสตร์นี้ที่โลกไม่รู้จัก My Heart Will Go On, I Will Always Love You, และ All I Want for Christmas Is You

.

แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจ้ะ ว่าก่อนจะมาเป็นนักร้องดีว่าซูเปอร์สตาร์ เจ้าของผลงานเพลงอมตะมากมาย คุณแม่ทั้ง 3 นางก็เคยมีชีวิตเป็นนางสาวปุถุชนคนเดินดินกันมาก่อน ไม่อย่างนั้นจะเรียกจุดเปลี่ยนว่าโมเมนต์พลิก ‘ดิน’ สู่ ‘ดาว’ ได้ไงจริงไหม

.

บทความนี้ The Showhopper ขอมอบให้เหล่า ‘นักฝัน’ ทั้งหลายทั้งยังไม่ออกเดินทางและยังข้ามไม่ถึงฝั่งฝันดี อยากจะย้ำให้ทุกคนฟังกันอีกสักครั้งว่า ขนาดนักร้องรุ่นเยาว์เจ้าของเสียงสวรรค์ก็ยังต้องอาศัยเวทมนตร์จาก ‘จุดเปลี่ยน’ บางทีคุณเองก็อาจกำลังรอโอกาสเหมาะๆ ของตัวเองอยู่เช่นกัน

.

 Celine Dion

.

เด็กหญิงเซลีน ดิออน (หรือถ้าอ่านให้ถูกต้องตามภาษาเมืองเกิดแม่คือเซลีน ดียง ) เกิดมาในครอบครัวไซส์ใหญ่พิเศษ ด้วยจำนวนพี่น้องถึง 14 คน! พ่อที่เป็นคนขายเนื้อ และแม่ที่เป็นพนักงานทำความสะอาด เป็นคนเชื้อสายฝรั่งเศสที่อาศัยอยู่ในย่านชานเมืองของควิเบก ครอบครัวดิออนใช้ชีวิตยากจนอัตคัด ถึงขั้นที่ว่าในยุคหนึ่ง น้องคนสุดท้องที่ตัวเล็กที่สุดจะต้องนอนในลิ้นชัก และในวันที่ไม่มีอะไรกินเลยนอกจากแคร์รอต แม่ก็ต้องอบพายไส้แคร์รอตล้วนๆ ให้ลูกๆ กินประทังชีวิต

.

เซลีนเริ่มร้องเพลงหาเงินครั้งแรกร่วมกับพี่น้องของเธอหลังจากพ่อกับแม่ตั้งธุรกิจเปียโนบาร์เล็กๆ ขึ้นมา เธอกับพี่ชายแต่งเพลงด้วยกันครั้งแรกตอนอายุ 12 ปี แม่เห็นพรสวรรค์ในตัวลูกสาวเลยส่งเทปเดโมม้วนแรกของเซลีนไปให้โปรดิวเซอร์ เรเน่ แองเจลิล (René Angélil) และเมื่อโปรดิวเซอร์คนนั้นได้ฟังเทป เขาก็ติดต่อขอพบสาวน้อยเจ้าของเสียงทันที เสียงที่ได้ฟังทำให้เรเน่ถึงกับตัดสินใจจำนองบ้านเพื่อเอาเงินมาใช้ทำอัลบั้มเดบิวต์ให้กับเซลีน แม้อาชีพนักร้องจะไปได้ด้วยดี แต่เนื่องจากเซลีนไม่รู้ภาษาอังกฤษมากนัก เธอจึงเป็นเพียงนักร้องที่ดังแค่ในระดับภูมิภาคอยู่หลายปี

.

จนกระทั่งในปี 1991 ประมาณ 3 ปีหลังจากเซลีนเริ่มเรียนภาษาอังกฤษและได้ปล่อยอัลบั้มภาษาอังกฤษชิมลางไปบ้างแล้ว เธอก็เริ่มดังจนเป็นที่รู้จักในวงการดนตรีป็อปอย่างจริงจัง จากการร่วมร้องซาวด์แทร็ก Beauty and the Beast (1991) ของดิสนีย์ หลังจากนั้นก็เริ่มปล่อยอัลบั้มและซิงเกิลฮิตออกมาเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็น The Power of Love (1993) หรือ Because You Loved Me (1996)

.

และในวัยเพียง 29 ปี เซลีนก็ก้าวขึ้นสู่จุดพีคที่ทำให้โลกจดจำเสียงเธอได้ไม่ลืม นั่นคือผลงานซาวนด์แทร็กภาพยนตร์ดัง Titanic ที่มีชื่อว่า My Heart Will Go On (1997)

.

 Whitney Houston

.

นี่คือเรื่องราวของผู้หญิงซึ่งได้ชื่อว่าเป็น ‘The Voice’ ของวงการเพลงป็อปยุค 80 วิทนีย์ ฮูสตัน นักร้องเจ้าของเสียงทรงพลังที่เป็นผู้หญิงคนแรก - ไม่ใช่แค่ผู้หญิงผิวดำคนแรกนะ - แต่เป็นผู้หญิงคนแรก! ที่สามารถปล่อยอัลบั้มขึ้นครองอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด เมื่อปี 1987

.

แต่ก่อนหน้านั้น วิทนีย์เองก็เคยมีโมเมนต์ที่ไม่กล้าร้องเพลงให้ใครฟังแม้แต่คนเดียว เธอเกิดมาในครอบครัวที่เต็มไปด้วยนักร้องนักดนตรี แม่ของเธอ ซิสซี ฮูสตัน (Cissy Houston) เป็นนักร้องเพลงกอสเปลดีกรีรางวัล แถมแม่ทูนหัวของเธอ อะรีธา แฟรงคลิน (Aretha Franklin) ยังเป็นนักร้องดังระดับตำนานของยุค 60s วิทนีย์เลยต้องไปแอบร้องเพลงอยู่ที่ก้นสระว่ายน้ำที่ไม่มีน้ำคนเดียว เพราะรู้สึกว่าเสียงตัวเองจะดังก้องและเพราะขึ้นเวลาอยู่ในสระปูกระเบื้อง

.

พอโตขึ้นหน่อย วิทนีย์ติดตามแม่ไปร้องเพลงตามคลับตอนกลางคืนบ้าง แต่คนส่วนใหญ่ที่มาฟังเป็นแฟนเพลงของแม่ ไม่ใช่แฟนเพลงของเธอ คนแรกที่ค้นพบพรสวรรค์ของวิทนีย์คือไคลฟ์ เดวิส (Clive Davis) ที่บังเอิญได้ไปชมโชว์ของแม่วิทนีย์ที่คลับชื่อ Sweetwaters แล้วรู้สึกถึงพลังของเสียงร้องของเด็กสาวอายุน้อยวัย 17 คนนี้

.

แม้หลังเซ็นสัญญากับต้นสังกัด อาชีพนักร้องของเธอจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่วิทนีย์ก็ยังไม่วายต้องรับมือกับอคติจากทั้งสองฝั่ง ทางฝั่งคนขาวก็เบือนหน้าหนีนักร้องหญิงผิวดำ ส่วนคอมมูฯ คนผิวดำที่เดาว่าต้องโอบรับเธอได้แน่ๆ กลับรู้สึกว่าวิทนีย์ยัง ‘ดำไม่พอ’ (not black enough) เพราะเธอเป็นแอฟริกันอเมริกันที่สีผิวไม่เข้มนัก (เรียกว่าเฉด light-brown ซึ่งจริงๆ ก็ยังไม่สว่างเท่าเฉดของแม่บีย์หรือ Alicia Keys ที่ดังในยุคหลังด้วยซ้ำ )

.

กระนั้นก็ตาม ความสามารถของเธอก็ได้รับการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ไม่หยุดหย่อน นับตั้งแต่ช่วงที่ยังเป็นดาวรุ่ง กับอัลบั้มแรก (1985) ที่มีทั้ง Greatest Love of All และ Saving All My Love for You อัลบั้มสอง (1987) ซึ่งมี I Wanna Dance with Somebody เป็นเพลงเปิดในตำนาน เรื่อยมาจนถึงจุดที่ขึ้นหิ้งเป็นนักร้องคนโปรดของอเมริกา กับซิงเกิล I Will Always Love You ที่ครองอันดับ 1 บนชาร์ตชาวนานถึง 14 สัปดาห์ในปี 1992

.

 Mariah Carey

.

ปิดท้ายด้วยแม่หมีคนดีกับเพลงฮิตติดชาร์ตของนางที่ไม่เคยหนีหายไปจากโสตประสาทของชาวโลกได้เกิน 10 เดือน เพราะยังไม่ทันจะหมดฮาโลวีนดี ช่วงเวลาแห่งการ Defrost  ก็วนกลับมาอีกครั้ง It’s time~ /หวีดเสียง whistle ตามชี /

.

มารายห์ แครีย์ เป็นสาวนิวยอร์กโดยกำเนิด เกิดในครอบครัวหลากเชื้อชาติที่ฐานะไม่ดีนัก เธอมีแม่เป็นอดีตนักร้องโอเปราเชื้อไอริช ส่วนพ่อเป็นวิศวกรการบินลูกครึ่งแอฟริกัน-เวเนซูเอลา (เชื้อสายคนดำ-คนลาติน) ชีวิตช่วงวัยเด็กของเธอจึงไม่ราบรื่นนัก ด้วยความที่เป็นมีเชื้อสายคนดำอยู่ด้วย การอาศัยอยู่ในย่านของคนขาวจึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ครอบครัวแครีย์ย้ายบ้านบ่อยครั้ง แถมยังต้องเผชิญหน้ากับการเหยียดเชื้อชาติมากมาย นอกจากนี้พี่ชายของมารายห์ยังมีประวัติชอบใช้ความรุนแรงในครอบครัวด้วย

.

มารายห์เป็นที่รู้จักในฐานะนักร้องเป็นอันดับแรกก็จริง อาจจะด้วยเรนจ์เสียงกว้าง 5 อ็อกเทฟ ประหนึ่งมหาสมุทรแปซิฟิก หรือเทคนิคการร้อง Whistle Register ชั้นครูก็ตาม แต่จริงๆ ความสามารถอีกอย่างที่เธอภูมิใจมากคือทักษะการแต่งเพลง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำมาโดยตลอดตั้งแต่สมัยรับจ็อบเป็นนักร้องแบ็กอัปตอนอายุสิบกว่าๆ (ที่เขียนไว้ในวิกิว่า singer-songwriter ไม่ได้เขียนไปงั้นๆ นะจ๊ะ!) และเดโมเทปที่ทำให้เธอได้เซ็นสัญญาเข้าเป็นนักร้องในสังกัดโคลัมเบียเอง ก็เป็นผลงานที่เธอเขียน อัด และโปรดิวซ์เอง โดยได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนสมัยไฮสคูลนี่แหละ

.

อัลบั้มเดบิวต์ของมารายห์ฮิตติดชาติเป็นพลุแตกทันทีโดยไม่ต้องสงสัย ด้วยเพลงไตเติล Vision of Love (1990) ตามมาติดๆ ด้วยความสำเร็จของ Emotion ในปี 1991 และ Music Box ในปี 1993 อันประกอบไปด้วยทั้งเพลงดังอย่าง Hero และ Without You

.

แต่คงไม่มีผลงานชิ้นไหนที่จะตราตรึงไปมากไปกว่า All I Want for Christmas Is You ที่ถูกปล่อยมาในช่วงปลายเดือนตุลาคมของปีถัดมาอีกแล้ว จริงอยู่ที่สมัยยุค 90 คนยังไม่ค่อย appreciate เวทมนตร์ของเพลงนี้กันสักเท่าไร แถมตอนปล่อยออกมา เพลงก็ขึ้นชาร์ตสูงสุดแค่อันดับ 12 ก่อนจะร่วงลงมาในเวลาไม่นาน (ถือว่าสูงแล้ว! แต่เพลงคริสต์มาสก็คือเพลงคริสต์มาสน่ะ ) แต่ความเริ่ดคือ ความสำเร็จของเพลงนี้ส่งให้มารายห์ขึ้นแท่นเป็นศิลปินดาวรุ่งคนแรกของโลก ที่ปล่อยอีกหลายหลายเพลงที่ครองชาร์ตอันดับ 1 ติดต่อกันถึง 4 ทศวรรษแล้ว (90s, 2000s, 2010s และ 2020s )

.

เรื่อง: Bloomsbury Girl

.


ดู 0 ครั้ง0 ความคิดเห็น

Comments


bottom of page