top of page

รู้จัก “Maybe Happy Ending” ละครเพลงเจ้าของ 6 รางวัล TONY กับเส้นทาง 10 ปี จากเกาหลีใต้สู่บรอดเวย์

ree

“หิ่งห้อยเป็นแมลงที่มีความพิเศษ มันเคยมีอยู่เกือบทุกหนแห่ง แต่ตอนนี้พบได้แค่ในป่าแห่งหนึ่งบนเกาะเชจูเท่านั้น มีปฏิกิริยาเคมีที่ซับซ้อนในท้องของหิ่งห้อยซึ่งไม่พบในแมลงชนิดอื่น ด้วยกระบวนการเคมีดังกล่าว มันจึงสามารถส่องแสงออกมาได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องเสียบปลั๊ก”

.

🔥“...พวกมันมีชีวิตอยู่ได้เพียงสองเดือน แต่ก็เป็นสองเดือนที่ช่างงดงามเหลือเกิน”

.

ถ้าเรื่องมหัศจรรย์ที่ดีที่สุดเช่นนี้ผ่านเข้ามาในชีวิตเรา แต่นั่นคือการแลกมาด้วยความสุขใจในระยะเวลาเพียงไม่นาน เราจะกล้าพอมั้ยที่จะยินยอมให้สิ่งนั้นเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตัวตน สิ่งที่ก่อกำเนิดอย่างท้าทายความรู้สึกนึกคิด แต่อาจลงเอยด้วยการเป็นความทรงจำแสนล้ำค่าตลอดกาล

.

นี่คือบทเรียนสำคัญที่ไม่ใช่เพียงแค่สองตัวละครนำอย่าง Oliver กับ Claire จะได้เรียนรู้เท่านั้น แต่ยังเป็นประเด็นน่าไตร่ตรองที่สามารถส่งต่อได้ถึงทุกคนที่แวะเวียนมาสัมผัสความน่าทึ่งของโปรเจกต์ละครเวทีสุดจับใจเรื่องนี้

.

บทพูดสั้น ๆ นี้มาจากซีนหนึ่งของ Maybe Happy Ending บรอดเวย์รอมคอมมิวสิคัลแสนอ่อนโยนซึ่งแม้จะมีชื่อเรื่องชวนให้ผู้ได้ยินต้องร้อง ‘เอ๊ะ!’ เบา ๆ แต่กลับมีเสน่ห์ที่สะกดคนดูให้หลงรักกันมาแล้วอย่างล้นหลาม และยังเป็นผู้ชนะ 6 รางวัลโทนีครั้งล่าสุดด้วย หนึ่งในนั้นก็คือสาขาละครเพลงยอดเยี่ยม🏆

.

เมื่อมองแบบผิวเผิน Maybe Happy Ending อาจดูคล้ายเป็นละครทรง ‘มินิมอล’ ที่อะไร ๆ ล้วนดูตะมุตะมิ กระจุ๋มกระจิ๋ม ง่าย ๆ เบาสบายไปเสียทุกอย่าง (แม้กระทั่งความยาวของมันยังกินเวลาแบบน่ารัก ๆ แค่ 1 ชม. 40 นาที) จนอาจชวนให้ใครต่อใครพาลคิดเอาได้ว่า ที่มาที่ไปของโชว์เรื่องนี้คงโรยด้วยกลีบกุหลาบสวย ๆ ไม่ต่างจากฟีลที่ส่งผ่านมาถึงผู้ชมอย่างแน่นอน

.

…แต่แท้ที่จริงแล้วกว่าจะมายืนถึงจุดนี้ได้ เรื่องราวของ Maybe Happy Ending ก็เกือบจะเป็น ‘Unhappy Ending’ มาแล้ว และการเดินทางนานนับ 10 ปีของโชว์เรื่องนี้ก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้แก่นแท้ของละครที่เล่นกับหัวจิตหัวใจของมนุษย์อย่างลึกซึ้งเลยทีเดียว

.

☕ ย้อนไปในปี 2014 พัคชอนฮยู หรือที่ทุกคนรู้จักกันในเวลานี้ว่า Hue Park (ฮิว พาร์ค) นั่งอยู่ในร้านกาแฟแห่งหนึ่งที่บรูคลินซึ่งกำลังเปิดเพลง “Everyday Robots” ของ Damon Albarn เป็นเพลงแบ็คกราวด์ เนื้อเพลงที่เริ่มด้วย ‘We are everyday robots on our phones / In the process of getting home’ ดึงความสนใจเขาได้ทันที และนั่นเองทำให้ไอเดียเรื่องราวความรักที่มีตัวละครหลักเป็นหุ่นยนต์ถุกจุดประกายขึ้น

.

พาร์คนำเสนอไอเดียนี้กับ Will Aronson เพื่อนสนิทของเขาที่จบจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์กเหมือน ๆ กัน โดยคอนเซปต์ที่เขาโยนไปคือ ‘หุ่นยนต์ 2 ตัวในเกาหลียุคอนาคต แต่มีตัวหนึ่งนั่งเล่นทรอมโบนอยู่คนเดียวกลางดึกในโรงรถใต้อพาร์ทเมนท์ของพวกเขา’ ซึ่งเป็นไอเดียที่แอรอนสันรู้สึกว่ามีความเข้มข้นทางอารมณ์สูงอันเนื่องมาจากฟีลที่ดูเปลี่ยวเหงาและโดดเดี่ยว🎺

.

ในเวลานั้นพาร์คเพิ่งจบความสัมพันธ์ระยะยาว รวมทั้งสูญเสียเพื่อนสนิทไปจากโรคมะเร็ง จนในหัวของเขามีแต่คำว่า ‘ฮิคิโคโมริ’ หรือพฤติกรรมตัดขาดจากสังคม เหตุการณ์นี้ทำให้เขาสงสัยว่า ‘ในเมื่อการรักใครสักคนสามารถกลายเป็นความเจ็บปวดได้ แล้วทำไมเราถึงยังรัก? ผมอยากสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับใครคนใหม่จริง ๆ ใช่มั้ย หรือผมอยากอยู่คนเดียวซึ่งสบายใจกว่าในหลาย ๆ แง่มุมกันแน่’

.

💕จากจุดเริ่มต้นดังกล่าว พาร์คและแอรอนสันจึงเริ่มเขียนบทละครและแต่งเพลง โดยสร้างตัวละคร Helperbot (หุ่นยนต์ผู้ช่วย) ซึ่งมีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ขึ้นมา 2 ตัว ตัวแรกคือ Oliver หุ่นยนต์ที่มีรูปลักษณ์เหมือนมนุษย์ผู้ชาย ซึ่งมีกิจวัตรประจำวันที่ดึงดูดให้เขาอยู่แต่ในห้องได้โดยไม่รู้สึกว่าอยากออกไปข้างนอก นัยหนึ่งคือไม่ต้องการรู้จักประสบการณ์อื่นใดมากกว่านี้เลย ส่วนอีกตัวคือ Claire หุ่นยนต์ที่มีลักษณะเหมือนผู้หญิงซึ่งมีมุมมองตรงกันข้าม นั่นคือ เคยเห็นมาแล้ว เคยทำมาแล้ว และไม่อยากข้องเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ อีก

.

พาร์คและแอรอนสันเขียนบทละครออกมาเป็นสองภาษา ทั้งในภาษาเกาหลีและภาษาอังกฤษ พวกเขาพิทช์ไอเดียแก่โปรดิวเซอร์ที่ Wooran Cultural Foundation ซึ่งเป็นมูลนิธิไม่แสวงหากำไรในกรุงโซลที่สนับสนุนศิลปินรุ่นเยาว์ จนในที่สุดก็ได้เข้าร่วมโครงการของทางมูลนิธิ และบทเวอร์ชันเกาหลีก็ได้รับการพัฒนาต่อจนเกิดเป็นเวิร์คชอป และมีการแสดงรอบทดลองเกิดขึ้นในเดือนกันยายน 2015

.

ช่วงปลายปี 2016 Maybe Happy Ending เปิดแสดงครั้งแรกในกรุงโซล โดยได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้นพร้อมเสียงวิจารณ์เชิงบวก นับจากนั้นละครก็กลับมาแสดงอีกหลายครั้งทั้งในปี 2017, 2018, 2020, 2021 และ 2024 นอกจากนี้ยังถูกนำไปแสดงที่ญี่ปุ่นช่วงปี 2017-2018 ตามมาด้วย 2020 และยังได้แสดงที่จีนในปี 2021 ด้วย …เรียกได้ว่าละครมีกระแสโด่งดังนำไปก่อนแล้วในฟากเอเชีย🍜

.

🗽สำหรับโปรดักชันที่เปิดแสดงในอเมริกานั้น เริ่มจากการเป็นเวิร์คชอปซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์กทั้งเวอร์ชันเกาหลีและเวอร์ชันอังกฤษในปี 2016 ในเวลานั้นเวอร์ชันอังกฤษถูกตั้งชื่อละครว่า ‘What I Learned from People’ (ซึ่งปัจจุบันปรากฏเป็นชื่อเพลง ๆ หนึ่งที่ตัวละครแคลร์เป็นคนร้อง)

.

เวอร์ชันภาษาอังกฤษเกิดขึ้นจากทีมพัฒนาคนละทีมกับฝั่งเกาหลี พาร์คและแอรอนสันจึงใช้บทละครเวอร์ชันอังกฤษที่เป็นดราฟต์แรกสุดมาเป็นจุดตั้งต้น ไม่ได้พัฒนามาจากบทเวอร์ชันเกาหลีที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ดังนั้นไฟนอลเวอร์ชันของโชว์ฉบับอังกฤษจึงมีความแตกต่างจากฉบับเกาหลีเป็นอย่างมาก …เอาง่าย ๆ ก็คือ ณ จุดนี้ เกิดเป็น Maybe Happy Ending สองเวอร์ชันที่แตกต่างกันแล้ว แต่ยังมีโครงเรื่องหลักที่เหมือนกัน🪶

.

หลังเวอร์ชันอังกฤษได้เดบิวต์ที่เมืองแอตแลนตาต้นปี 2020 กระแสความชื่นชมละครก็เกิดขึ้น นักวิจารณ์ให้ความเห็นว่าละครพร้อมแล้วสำหรับการไปบรอดเวย์ และทางโปรดิวเซอร์เองก็อยากพาละครเข้าบรอดเวย์ในซีซันถัดไป ทันใดนั้นทุกอย่างก็ต้องหยุดชะงักลงเมื่อการระบาดของ COVID-19 ทำให้บรอดเวย์ต้องประกาศ shutdown ในเดือนมีนาคมปีนั้น

.

🚕 เมื่อโรงละครกลับมาเปิดได้อีกครั้ง กระแสความนิยมต่าง ๆ ก็เหือดหายไป ทำให้ Maybe Happy Ending ต้องกลับไปยืนที่จุดเริ่มต้นใหม่อีกหน อย่างไรก็ตามยังมีสิ่งดี ๆ เกิดขึ้นกับโปรเจกต์เมื่อนักแสดงชื่อดังอย่าง Darren Criss ก้าวเท้าเข้ามาสมทบในฐานะโปรดิวเซอร์ร่วม และรับบทนำเป็นโอลิเวอร์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้นักลงทุนและเจ้าของโรงละครคลายความกังวล

.

🎭 กระนั้นแล้วการเปิดตัวที่บรอดเวย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะโชว์ประสบปัญหาเรื่องความเชื่อมั่นซึ่งส่วนหนึ่งมาจากกระแสที่ว่าเนื้อเรื่องของละครนั้นขายยาก ผู้คนนึกไม่ออกว่าเรื่องของหุ่นยนต์ 2 ตัวในกรุงโซลที่ถูกทำเป็นละครเพลง (แถมใช้เพลงติดอินดี้ ๆ) นั้น จะออกมาหน้าตาเป็นยังไง อีกทั้งยังต้องต่อสู้กับอินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok ที่บอกว่าละครน่าจะไม่ได้เปิดม่านอีกหนึ่งดอก จนทำให้เหล่านักลงทุนเริ่มถอนตัวเพราะเชื่อว่าละครอาจไปไม่รอด และต้องปิดตัวลงอย่างรวดเร็ว

.

ในช่วงแรกละครทำรายรับได้ต่ำเตี้ยจนน่าตกใจ โปรดิวเซอร์ตัดสินใจหั่นราคาตั๋วลงชนิดหั่นแล้วหั่นอีกด้วยความหวังว่าที่นั่งในโรงละครจะถูกเติมเต็มเข้ามา และคนเอาไปบอกต่อจนเกิดกระแสปากต่อปาก ซึ่งแม้จะเป็นกลยุทธที่ดูจนตรอกแต่ก็มาถูกทาง เพราะกระแสความประทับใจของผู้ที่ได้ชมนั้นแพร่กระจายออกไปจริง ๆ จนในที่สุดโชว์ก็เริ่มเก็บรายรับได้มากขึ้น ๆ กระทั่งรางวัลโทนีประกาศผู้เข้าชิงช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และ Maybe Happy Ending คือหนึ่งในสามเรื่องที่เข้าชิงสูงสุดของปีนี้ที่ 10 สาขา เมื่อนั้นเองโชว์จึงเริ่มขายบัตรได้แบบ sold out 👏

.

แม้ว่าฮิว พาร์ค ได้สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นชาวเกาหลีคนแรกที่คว้ารางวัลสูงสุดของวงการบรอดเวย์ไปแล้วเรียบร้อย แต่เขาก็เปิดเผยว่าเขากับแอรอนสันกดความคาดหวังไว้ต่ำมากตลอดฤดูรางวัลที่ผ่านมาเพราะกลัวความผิดหวังที่อาจจะเกิดขึ้น ซึ่งเป็นทัศนคติแบบเดียวกับตัวละครแคลร์ที่ปฏิเสธความรักเพราะไม่อยากพบพานความเจ็บปวดอีก

.

🤖 ในละคร โอลิเวอร์นั้นเป็น Helperbot-3 ส่วนแคลร์เป็น Helperbot-5 ด้วยความที่เป็นโมเดลเก่ากว่า โอลิเวอร์จึงขาดฟังก์ชันการทำงานบางอย่าง และไม่มีสกิลการเข้าสังคมเหมือนกับแคลร์ แต่ก็เป็นรุ่นที่ทนทานกว่า ในขณะที่แคลร์แม้จะเป็นรุ่นที่ใหม่กว่า แต่กลับกินพลังงานสูงทำให้แบตหมดเร็ว (นี่มันถอดคุณสมบัติมาจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิคส์ในโลกจริงชัด ๆ!!)

.

ทั้งคู่อาศัยอยู่ในห้องตรงข้ามกันในอพาร์ทเมนท์สำหรับหุ่นยนต์ที่ถูกปลดเกษียณ โดยต่างก็มีจุดมุ่งหมายของตัวเองนั่นคือ โอลิเวอร์อยากกลับไปเจอเจ้าของคนเก่า ส่วนแคลร์อยากไปดูหิ่งห้อยบนเกาะเชจู และเมื่อทั้งสองได้พบกันในวันหนึ่ง ปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นก็เริ่มก่อตัวเป็นความรัก

.

👍 ความดีงามของ Maybe Happy Ending นั้น อาจไล่เรียงมาได้มากมาย เริ่มได้ตั้งแต่ world building ที่สอดคล้องกับฉากหลังยุคอนาคตซึ่งเน้นความ modern และ simple แต่ก็ได้ functional จัด ๆ ทั้งในจักรวาลของเรื่องราว และวิธีการเล่าของโชว์บนเวที

.

สเกลอมยิ้มขำขันที่ไล่สเต็ปได้ตั้งแต่แนวพ่อแง่แม่งอนไปจนถึงระดับฮาก๊ากแบบในหนังรอมคอมสมัยเก่าที่เชื่อว่าหลายคนในยุคนี้ถวิลหา ซึ่งถูกยกระดับขึ้นไปอีกด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมและธรรมชาติมาก ๆ จาก Darren Criss กับ Helen J. Shen สองนักแสดงนำที่เคมีเข้ากันอย่างแรง

.

หรืออาจจะเป็น magical moment ในหลาย ๆ ฉากที่ตรึงคนดูไว้อย่างอยู่หมัดก็ได้ด้วย หนึ่งในนั้นคือฉาก “Chasing Fireflies/Never Fly Away” ซึ่งถูกยกมาแสดงในงานโทนีอวอร์ดส์เมื่อเดือนที่แล้ว

.

นอกจากนี้ยังมีพาร์ทดนตรีที่ถึงจะไม่ได้อลังการบิ๊กแบนด์ขายพลังเสียงแบบโอลด์สคูลมิวสิคัล และเลือกชอยส์เป็นอินดี้ป็อบ ผสานอเมริกันแจ๊สแบบเท่ ๆ แล้วคละด้วยกลิ่นบรอดเวย์อ่อน ๆ แทน แต่ก็สอดรับกับทุกอย่างในเรื่องได้อย่างลงตัวแถมไพเราะจับใจ …แม้กระทั่งเจ้า HwaBoon กระถางต้นไม้สุดคิวท์เพื่อนคู่ใจข้างกายโอลิเวอร์ก็เป็นสิ่งที่ผู้ชมไม่เอ็นดูไม่ลง🪴

.

เหนือสิ่งอื่นใดคือ สไตล์การเล่าเรื่องสุดแสนละมุนละไมอันเป็นไม้ตายทีเด็ดของโชว์ ที่มาพร้อมความจริงใจในการสดุดีพลานุภาพของความรักและความทรงจำ ผ่านหัวใจอันบริสุทธิ์ของหุ่นยนต์สองตัวซึ่งกำลังเรียนรู้วิถีแห่งรักแบบมนุษย์ ในโลกที่นานวันมนุษย์ก็ยิ่งถอยห่างออกจากกัน และหลงลืมความรักมากขึ้นเรื่อย ๆ เสียเอง

.

ท้ายที่สุด แม้ละครบรอดเวย์องก์เดียวจบเรื่องนี้จะเคยทำให้ผู้ชมมองด้วยสายตาหวาดหวั่นมาก่อน แต่ตอนนี้มันก็ได้พิสูจน์แล้วว่า นี่คือความมหัศจรรย์ที่พิเศษมากพอให้เราได้จดจำจริง ๆ

.

Maybe Happy Ending จะกลับมาเปิดการแสดงที่กรุงโซลอีกครั้งในเดือนตุลาคม 2025 นี้ที่ Doosan Art Center โดยจะแสดงจากบทละครเวอร์ชันเกาหลี ส่วนโชว์ที่เป็นเวอร์ชันบรอดเวย์และต้องอาศัยงานเทคนิคที่แพรวพราวกว่านั้น ทางโปรดิวเซอร์มีหยอดมาแล้วเช่นกันครับว่า ถ้าหาสถานที่แสดงที่เหมาะสมได้ ชาวเกาหลีอาจจะได้ชมกันภายในปี 2028 ด้วย

.

เรื่อง: Gaslight Café

.


ความคิดเห็น


©2023 by The Showhopper

bottom of page