top of page

#วันธรรมดาในฟิลิปปินส์กับเหล่า ‘ศิลปินตัวท็อป’ ที่ยืนยันว่าคนประเทศนี้ร้องเพลงเพราะจริง!

  • รูปภาพนักเขียน: Gaslight Café
    Gaslight Café
  • 5 วันที่ผ่านมา
  • ยาว 2 นาที
ree

มีบางประเทศที่คุณไปเยือนแล้วอาจจะจดจำได้จากกลิ่นอาหาร บางประเทศจากแสงแดดที่ตกกระทบผิว หรือบางประเทศจากเสียงแตรรถที่ไม่เคยหยุดพัก แต่สำหรับฟิลิปปินส์ สิ่งหนึ่งที่คนน่าจะจดจำได้ดีที่สุดคงต้องยกให้ ‘เสียงร้องเพลง’

.

ไม่ใช่เสียงจากเวทีคอนเสิร์ต หรือจากเครื่องเล่นในร้านอาหารหรู หากแต่เป็นเสียงจากคนธรรมดาที่ผ่านไปมาในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งเพียงแค่ก้าวเท้าเข้าไปปะปนในกลุ่มผู้คน คุณก็สามารถได้ยินเสียงร้องเพลงของใครสักคนที่เป็นได้ตั้งแต่การฮัมเพลงเบา ๆ ไปจนถึงระดับปล่อยพลังลูกคอยี่สิบชั้นได้อย่างง่ายดายในวันธรรมดาๆ ของฟิลิปปินส์

.

เมื่อเกือบ 10 ปีก่อน ผมมีโอกาสได้ไปทำงานที่นั่นอยู่หลายหน และก็ต้องแอบยิ้มทุกครั้งที่อยู่ ๆ ก็ได้ยินเสียงคนร้องเพลงลอยมาเข้าหูท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่ดูไม่น่าจะ ‘feel like to sing’ ได้เลยในขณะนั้น

.

จำได้ว่าวันหนึ่งขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ที่ตึกออฟฟิศ มีผู้หญิงคนหนึ่งเข้ามาในลิฟต์ด้วยครับ เธออยู่ในลุคพนักงานออฟฟิศไม่ต่างจากผม มี badge ห้อยคอ สะพายเป้แล็ปท็อปด้านหลัง มือนึงถือแก้วกาแฟ เพียงแต่เราไม่ใช่พนักงานบริษัทเดียวกัน (ตึกนั้นมีหลายบริษัท) โมเมนต์นั้นมีแค่ผมกับเธออยู่ในลิฟต์แค่สองคน และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เริ่มร้องเพลงขึ้นมาว่า “And I am telling you… I’m not going…” 😲

.

เธอไม่ได้ร้องเอาเป็นเอาตายแบบ Jennifer Hudson แต่ก็ไม่ได้เบาพอที่จะเป็นการร้องอยู่ในลำคอ ตอนนั้นผมไม่ได้ประหลาดใจมากนัก เพราะหลังจากอยู่ที่มะนิลามาหลายวันก็เริ่มสังเกตเห็นคัลเจอร์ sing-a-song แบบนี้อยู่บ่อยครั้ง แรกๆ ก็ตกใจ และรู้สึกแปลกดีที่เจอคนร้องเพลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยตามห้องน้ำบ้าง ตามถนนหนทางบ้าง หรือหนักสุดคือเจอในออฟฟิศตัวเอง แต่พอจับทางวิถีชีวิตคนที่นี่ได้ ความรู้สึกที่มีก็เปลี่ยนเป็นความสงสัยแทน

.

ที่มากกว่าความสงสัยคือความทึ่งในความเสียงดีของชาวปินส์ เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้ยินคนร้องเพลง ไม่ว่าจะร้องเล่นหรือเปิดโหมดจริงจัง ผมมักพบว่าแทบไม่มีคนไหนเลยที่ร้องแย่หรือเพี้ยน บางครั้งเสียงดีระดับขึ้นเวทีใหญ่ได้สบาย อย่างเช่นดีว่า Dreamgirls ในลิฟต์คนนั้น หลังยืนฟังอยู่เงียบๆ จนกระทั่งเสียงเธอค่อยๆ fade out เมื่อเธอออกจากลิฟต์ไป ผมจึงตระหนักได้ว่าเธอเป็นคนที่ร้องเพลงเพราะมาก

.

ชาวปินอยเติบโตมากับการร้องเพลง มันคือส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ ตั้งแต่โต๊ะอาหารในบ้านไปจนถึงงานสังสรรค์ระดับมวลชน ความรักในเสียงเพลงของพวกเขาส่วนหนึ่งมาจากศาสนา ครอบครัว และรายการประกวดร้องเพลงที่แพร่หลายอย่างมากมายที่นั่น เช่น Tawag ng Tanghalan และ The Voice Philippines

.

สำหรับคริสต์ศาสนา พิธีกรรมต่างๆ เช่น การร้องเพลงสรรเสริญในโบสถ์ หรือการใช้เสียงเพลงในการเฉลิมฉลอง ล้วนเป็นการปลูกฝังทักษะและความกล้าแสดงออกตั้งแต่เด็กโดยอัตโนมัติ ในขณะที่ระบบการศึกษาของประเทศนี้ก็ให้ความสำคัญกับศิลปะการแสดงอย่างจริงจัง มีการร้องเพลงในชั้นเรียน รวมไปถึงจัดเวทีให้เด็กๆ ได้คลุกคลีกับเสียงเพลงอย่างต่อเนื่อง

.

หลายครอบครัวผลักดันให้ลูกหลานเดินทางสาย vocal กันแต่อ้อนแต่ออก อันเป็นผลมาจากความนิยมในรายการประกวดร้องเพลงที่ทำให้เห็นว่ามันอาจสร้างอาชีพในอนาคต และสามารถนำไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้นได้ จึงไม่ต้องแปลกใจหากคุณไปเยี่ยมบ้านเพื่อนปินส์สักคนที่นั่นแล้วเจอเข้ากับตู้คาราโอเกะพร้อมไมโครโฟน

.

นอกจากนี้ปัจจัยทางชาติพันธุ์ก็อาจมีบทบาทสำคัญ ฟิลิปปินส์เป็นประเทศที่มีการผสมผสานของคนเชื้อสายสเปน มลายู จีน และอเมริกัน มันจึงส่งผลต่อความหลากหลายทางดนตรี ไปจนถึงเรื่องของโครงสร้างร่างกาย การออกเสียง รวมทั้งภาษาที่ใช้อย่างอังกฤษและตากาล็อก ซึ่งมีจังหวะและการเน้นเสียงที่ชัดเจน ฟังแล้วมีความเป็นดนตรีในตัวเองคล้ายเสียงเพลง

.

ทุกปัจจัยซึ่งคลุกเคล้ามาแบบพอดีทำให้การร้องเพลงกลายเป็นพรสวรรค์ที่นิยามตัวตนของคนดินแดนนี้ได้อย่างภาคภูมิ จนเกิดเป็นแหล่งบ่มเพาะนักร้องคุณภาพที่ก้าวสู่เวทีระดับสากลมากมาย และทำให้การส่งออกนักร้องนับเป็นความสำเร็จหนึ่งของฟิลิปปินส์ที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้การส่งออกนางงาม

.

ตัวอย่างเช่นในยุคหนึ่งเราเคยได้รู้จัก Christian Bautista กับเพลงบัลลาดหวานหยดย้อยอย่าง “The Way You Look At Me” ที่เปิดกันทั่วเมือง หรือได้เสพผลงานของสาวมหัศจรรย์อย่าง Charice ซึ่งกลายเป็นปรากฏการณ์ระดับโลกเมื่อเธอได้ขึ้นเวทีประกบ Celine Dion, David Foster และศิลปินในตำนานอีกมากมาย รวมทั้งโด่งดังจนได้ร่วมแสดงใน Glee และมีสตูดิโออัลบั้มที่ขึ้นได้ถึง Top 10 บนชาร์ต Billboard 200 จนกลายเป็นอัลบั้มแรกโดยศิลปินเดี่ยวจากเอเชียที่ทำได้สำเร็จ

.

ศิลปินหลายคนที่คุณเคยฟังเสียงของเขาหรือเธออยู่บ่อยครั้ง ก็อาจมีเลือดปินส์ในตัวโดยที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน บางคนเป็นลูกครึ่ง บางคนเป็นลูกเสี้ยว 

.

ในเมืองไทยเรามีคริสติน่า อากีลาร์ ราชินีเพลงแดนซ์ และมาลีวัลย์ เจมีน่า เจ้าแม่เพลงโศกที่อยู่ในกลุ่มนี้ ส่วนในระดับสากลมีหลายชื่อที่อาจทำให้คุณประหลาดใจ ไม่ว่าจะเป็น Bruno Mars, Olivia Rodrigo, H.E.R., Hailee Steinfeld, apl.de.ap (แห่งวง Black Eyed Peas) และ Enrique Iglesias

.

นอกจากสกิล vocal ที่สูงส่งแล้ว บางครั้งศิลปินเลือดปินอยเหล่านี้ยังแผ่ขยายขอบเขตไปสู่ฝั่งการแสดงด้วย และหนึ่งในสายงานที่เห็นคำตอบชัดที่สุดก็คือสาย stage musical ซึ่งสามารถพบเจอได้หลายชื่อ ยกตัวอย่างเช่น Conrad Ricamora, Jose Llana, Lou Diamond Phillips (ทั้งหมดเคยแสดงใน The King and I โปรดักชันต่าง ๆ), Jon Jon Briones (เคยแสดงใน Miss Saigon, Hadestown และ Waterfall ของรัชดาลัย) หรือ Eva Noblezada (เคยแสดงใน Miss Saigon, Hadestown, The Great Gatsby)

.

Vanessa Hudgens ก็เป็นอีกคนที่เป็นลูกครึ่งฟิลิปปินส์ (จากฝั่งแม่) เธอคร่ำหวอดในสายมิวสิคัลมาอย่างยาวนาน มีผลงานที่ทุกคนจำกันได้อย่าง High School Musical ทั้งสามภาค, หนัง Tick, Tick…Boom! ส่วน live theatre ก็เคยแสดงทั้ง Grease Live! (ช่อง Fox), Rent: Live (ช่อง Fox), Rent (ที่ Hollywood Bowl) และ Gigi (ที่บรอดเวย์)

.

และหากจะบอกว่าปีนี้คือปีที่ศิลปินเชื้อสายปินอยประสบความสำเร็จมากที่สุดในแวดวงบรอดเวย์ก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด เพราะสองรางวัลใหญ่ของโทนีอวอร์ดส์ 2025 อย่างนักแสดงนำหญิงมิวสิคัลยอดเยี่ยม และนักแสดงนำชายมิวสิคัลยอดเยี่ยม ล้วนตกเป็นของคนที่มีเลือดฟิลิปปินส์ทั้งคู่

.

คนแรกคือ Nicole Scherzinger แห่งวง Pussycat Dolls พ่อของเธอเป็นคนฟิลิปปินส์ ส่วนแม่มีเชื้อสายรัสเซียผสมฮาวายพื้นเมือง สำหรับนิโคล หลังจากพยายามพิสูจน์ตัวเองบนเวทีละครเพลงมานานหลายปี ในที่สุดการสวมบท “Norma Desmond” ใน Sunset Boulevard ก็ทำให้เธอชนะรางวัลโอลิเวียร์เมื่อปี 2024 และมาคว้าโทนีนำหญิงได้ในปีนี้

.

ส่วนอีกคนคือ Darren Criss อดีต heartthrob แห่งซีรีส์ Glee ที่ตกคนดูมาได้ทั้งโลก แม่ของเขาเป็นชาวฟิลิปปินส์ ส่วนพ่อเป็นชาวตะวันตก ดาร์เรนเคยให้สัมภาษณ์ว่าครอบครัวของเขาเป็นครอบครัวแห่งเสียงเพลงที่แท้จริง แม่ชอบร้องรำทำเพลงมาก ส่วนพ่อเป็นคนมีความสามารถด้านดนตรีแต่ไม่ยอมเล่นดนตรี และตัวเขาเองก็เติบโตกับเสียงเพลงและการร้องเพลงมาตั้งแต่เล็ก ๆ

.

ดาร์เรนชนะโทนีนำชายจาก Maybe Happy Ending มิวสิคัลที่มีเซตติ้งอยู่ในเกาหลี รวมทั้งมีการใช้บริการนักแสดงเอเชียหลายชีวิต ซึ่งนอกจากดาร์เรน คริสแล้ว หนึ่งในนักแสดง understudy ของเรื่องยังมี Christopher James Tamayo ซึ่งมีเชื้อสายฟิลิปปินส์เช่นกัน

.

และคนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ Lea Salonga ตำนานแห่งวงการบรอดเวย์และ Disney Legend ผู้ได้รับฉายา ‘Pride of the Philippines’ เธอคือผู้รับบท “Kim” คนแรกของ Miss Saigon ซึ่งส่งให้เธอกลายเป็นนักแสดงเอเชียคนแรกที่ชนะโทนีนำหญิงมิวสิคัล รวมทั้งยังเป็นผู้ให้เสียงร้องของเจ้าหญิงดิสนีย์ถึงสองคน ได้แก่ “Jasmine” ใน Aladdin และ “Mulan” ใน Mulan

.

เสียงใสกังวาลดั่งคริสตัลของลีอาไม่ได้เป็นแค่เสียงที่ไพเราะจับใจเท่านั้น แต่ยังเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการเดินทาง ความฝัน ความหวัง และความเป็นไปได้ของคนเอเชีย ซึ่งกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นใหม่มาร่วม 4 ทศวรรษ เธอคือหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยตอกย้ำว่าศักยภาพการร้องเพลงของชาวปินอยไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์จากวัฒนธรรมที่หล่อหลอมของคนในชาติอย่างแท้จริง

.

อาจดูเป็นสินค้าส่งออกที่แปลกกว่าชาวบ้านในตลาดโลก แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เสียงร้องเพลงจากฟิลิปปินส์ก็กลายเป็น soft power ซึ่งการันตีคุณภาพคับแก้วในตัวแบบไม่ต้องการโลโก้ แคมเปญ หรือคำอธิบายเพิ่มเติมใด ๆ ทั้งสิ้นอีกแล้วครับ

.

และหากใครคิดถึงเสียงร้องในตำนานของไอคอนชาวฟิลิปปินส์อย่างแม่เลอา ก็สามารถมาพบกันได้ที่คอนเสิร์ต Thonburi Phanich presents ’LEA SALONGA‘ Live in One Bangkok ในวันที่ 7 มีนาคม 2026 นี้ โดยสามารถสำรองที่นั่งได้แล้วทาง Thaiticketmajor ทุกสาขา หรือคลิก 👉🏻 https://www.thaiticketmajor.com/concert/thonburi-phanich-presents-lea-salonga-live-in-one-bangkok.html  

.

.

เรื่อง: Gaslight Café

.



ความคิดเห็น


©2023 by The Showhopper

bottom of page