top of page

ส่องเพลงองก์สอง ใน Wicked: For Good ติวเข้มก่อนกลับเมืองออซเดือนพฤศจิกายนนี้!

ree

รอกันมาใจจะขาดหนึ่งปีเต็ม ตอนนี้ intermission ที่ยาวที่สุดในโลกก็กำลังจะจบลงในอีกไม่ถึง 2 เดือนนี้แล้ว และนั่นจะทำให้การเดินทางอันยาวนานกว่า 22 ปีจากละครเวทีสู่ฉบับจอเงินของ Wicked เสร็จสิ้นสมบูรณ์เสียที

.

เพื่อเตรียมตัวสำหรับการมาของ Wicked: For Good ในวันที่ 20 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ The Showhopper ขอชวนทุกคนมาอุ่นเครื่องแบบ ‘What We Know So Far’ พร้อมแอบส่องเพลงจากปัจฉิมบทภาคนี้กัน

.

Wicked: For Good จะเล่าเรื่องต่อในช่วงหลายปีผ่านไปนับจากเหตุการณ์ในภาคแรก บัดนี้ Elphaba (Cynthia Erivo) กลายเป็นที่หวาดกลัวของผู้คนในฐานะ ‘แม่มดชั่วร้ายแห่งแดนตะวันตก (The Wicked Witch of the West)’ ในขณะที่ Glinda ไม่ออกเสียง ‘Ga’ (Ariana Grande) ได้รับการนับหน้าถือตาจากประชาชนในฐานะ ‘กลินดาผู้แสนดี (Glinda the Good)’

.

🌈 ขอต้อนรับโดโรธี …สู่ดินแดน ณ ปลายรุ้ง

.

เรื่องราวของภาคนี้จะมาจากองก์ที่ 2 ของฉบับละครเวที และหนึ่งในความน่าสนใจที่สุดของมันก็คือการเชื่อมโยงไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง The Wizard of Oz (1939) อันโด่งดังซึ่งมี Judy Garland รับบทเป็น ‘Dorothy Gale’ สาวน้อยผมเปียที่พลัดหลงเข้ามาในดินแดนออซ

.

จากเทรลเลอร์ Wicked: For Good ทั้งสองตัวที่ปล่อยมา และช่วงต้นของหนังภาคแรก เราได้เห็นการปรากฏตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ของโดโรธีแอนด์เดอะแก๊งไปแล้ว น่าติดตามมาก ๆ ครับว่าการเล่าเรื่องฉบับนี้จะไปต่อติดกัน ณ จุดไหนบ้าง เพราะในฉบับละครเวที ผู้ชมไม่ได้เห็นโดโรธีเลย มากสุดที่เห็นก็คือมาเป็นเงา

.

นอกจากนี้ในฉบับละคร เราจะโยงไปหาเรื่องราวของเธอได้จากเพียงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใน Wicked เท่านั้น (เช่น เกิดขึ้นคู่ขนานไปกับเหตุการณ์ทางฝั่งโดโรธี หรือเกิดขึ้นหลังโดโรธีออกจากซีนนั้นไปแล้ว) แต่ในเวอร์ชันหนังที่เรากำลังจะได้ชมกันนี้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องได้เห็นการเข้าซีนร่วมกันของโดโรธีกับผองเพื่อนตามที่ได้เห็นในตัวอย่างหนังแน่ ๆ

.

แต่จะได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ หรือไม่ หรือเห็นเท่าที่โชว์ในเทรลเลอร์ คงต้องไปลุ้นกันเอาเองในโรงหนังครับ เพราะล่าสุดซินเธีย เอริโวออกมาคอนเฟิร์มว่า เราจะได้เห็นโดโรธีกันแค่จากระยะไกลหรือด้านหลังเท่านั้น และไม่มีการเปิดเผยหน้าตาเธออยู่ดี โดยเหตุผลสำคัญก็คือเพื่อรักษาภาพจำที่ผู้ชมมีต่อตัวละครนี้เอาไว้ และยึดมั่นในแนวคิดหลักของ Wicked ซึ่งคือการเล่าเรื่องที่มีเอลฟาบากับกลินดาเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่โดโรธี ซึ่งเป็นตัวละครที่มาเพื่อส่งแรงกระเพื่อมต่อเท่านั้น

.

อย่างไรก็ตาม ช่วงก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหูว่าผู้ที่จะมารับบทโดโรธีก็คือน้อง Alisha Weir ซึ่งเคยแสดงเป็นมาทิลด้าในเวอร์ชันหนังของ Matilda the Musical (2022) และเคยรับบทเป็นน้องแวมไพร์ผีเด็กดุใน Abigail (2024) นั่นเองครับ

.

แน่นอนว่าไม่มีการยืนยันแน่ชัดจากทางผู้สร้าง แต่ก็มีหลักฐานหลายอย่างที่ชี้ว่าอาจเป็นน้องจริง ๆ เช่น คลิปรีแอคท์เทรลเลอร์ Wicked: For Good ของ Katie Rose Weir พี่สาวของอลิชา ที่เธอมักแอบยิ้มทุกครั้งที่โดโรธีปรากฎตัวขึ้นมา

.

หรือตัวอลิชาเองก็เคยให้สัมภาษณ์ว่ามันบ้ามากที่ข่าวลือแพร่สะพัดไปได้ขนาดนี้ และคงจะ ‘wonderful’ ไม่น้อยถ้าได้รับเลือกให้เล่นบทโดโรธี โดยน้องก็ไม่ได้ยืนยันหรือปฏิเสธข่าวดังกล่าว หรือแม้กระทั่งงานพรีเมียร์ของ Wicked: Part 1 อลิชาก็ยังไปปรากฏตัว พร้อมกับสวมรองเท้าสีเงินเมทัลลิกซึ่งคล้ายกับสีรองเท้าของโดโรธีในหนังฉบับนี้

.

💚 ส่องเพลงกันสักนิด

.

สิ่งที่น่าจับตาไม่แพ้กันก็คือบทเพลงใน Wicked: For Good ซึ่งล่าสุดได้มีการเปิดเผยแทร็คลิสต์ออกมาแล้ว โดยรายชื่อเพลงที่อยู่ในองก์สองของละครเวทีจะมาเกือบครบทุกเพลง ยกเว้น “Finale” เพลงปิดเรื่องที่หายไปจากรายชื่อ และสิ้นสุดเพลงสุดท้ายแค่ “For Good” เท่านั้น

.

ในขณะที่เพลงเปิดเรื่องที่เคยรวมกันอยู่ในชื่อ “Thank Goodness” ในอัลบั้ม cast recording ก็ถูกแยกออกมาเป็น “Every Day More Wicked” กับ “Thank Goodness/I Couldn’t Be Happier” นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มสองเพลงใหม่ที่แต่งขึ้นสำหรับเวอร์ชันหนังโดยเฉพาะ ได้แก่ “No Place Like Home” และ “The Girl in the Bubble”

.

อัลบั้มซาวด์แทร็คจะปล่อยให้ฟังกันในวันที่ 21 พฤศจิกายน ซึ่งความพิเศษอีกอย่างหนึ่งก็คือ เพลงที่ปรากฏอยู่ในฉบับละครเวทีมานานแสนนานแต่ไม่เคยถูกใส่ไว้ในอัลบั้ม cast recording เลย ด้วยเหตุผลว่ามันเปิดเผยเนื้อเรื่องมากเกินไปอย่างเพลง “The Wicked Witch of the East” ก็จะมีให้ฟังกันในอัลบั้มนี้แล้วด้วย (และไม่ครับ… ผมไม่ได้พิมพ์ชื่อเพลงผิดแต่อย่างใด)

.

รายชื่อเพลงทั้งหมดมีดังนี้

• “Every Day More Wicked”

• “Thank Goodness/I Couldn’t Be Happier”

• “No Place Like Home”

• “The Wicked Witch of the East”

• “Wonderful”

• “I’m Not That Girl (Reprise)”

• “As Long As You’re Mine”

• “No Good Deed”

• “March of the Witch Hunters”

• “The Girl in the Bubble”

• “For Good”

.

🏚️ สุขใดเล่า เท่าบ้านเรา

.

สำหรับเพลง “No Place Like Home” นั้นจะร้องโดยเอลฟาบาครับ เพลงนี้ซินเธีย เอริโวร่วมแต่งกับนักแต่งเพลงหลักของเรื่องอย่าง Stephen Schwartz สังเกตว่าชื่อเพลงคือ quote คลาสสิคที่ตัวละครโดโรธีเคยพูดเอาไว้ใน The Wizard of Oz ซึ่งเป็น quote ที่สะท้อนหัวใจทั้งหมดในเรื่องราวของเธอ นั่นคือการเดินทาง ‘กลับบ้าน’ กลับไปยังที่ที่ใจได้พัก ที่ที่เราได้เป็นตัวเอง ที่ที่ความสุขเรียบง่ายเกิดขึ้นได้ทุกวัน

.

แต่กับเอลฟาบาแล้ว คำว่า ‘บ้าน’ ของเธออาจไม่ใช่ความหมายเดียวกันกับของโดโรธีโดยตรง เพราะความสุขใจของเอลฟาบาไม่เคยเกิดขึ้นที่นั่น เพลงนี้จึงอาจเป็นการค้นหาความหมายของ ‘บ้าน’ ในแบบของเธอเอง ไม่ใช่แค่สถานที่ แต่เป็นความรู้สึกของการเป็นที่รักและยอมรับ

.

ในอีกข้อสังเกตหนึ่งก็คือ ประโยค ‘There’s no place like home.’ ถูกเอ่ยออกจากปากของเอลฟาบาในฉบับละครเวทีเช่นกัน โดยเธอพูดขึ้นเมื่อครั้งที่กลับไปเผชิญหน้ากับ Nessarose (น้องสาวของเธอ) เป็นครั้งแรกในซีนสำคัญของเรื่อง และเมื่อเทียบกับลำดับแทร็คลิสต์ที่ปล่อยออกมาแล้ว ก็ดูเหมือนว่าเพลงนี้จะถูกเติมเข้ามาเพื่อขยายการเล่าเรื่องในช่วงเวลาดังกล่าวของเรื่องราวจริง ๆ ครับ

.

นอกจากนี้ “No Place Like Home” อาจเป็นโอกาสครั้งสำคัญที่ส่งให้ซินเธียคว้าออสการ์ได้ในที่สุดหากเพลงได้เข้าชิงและชนะรางวัล (ซึ่งมีแนวโน้มเป็นไปได้สูง) และจะทำให้เธอได้สถานะ ‘EGOT winner’ (ผู้ที่ชนะครบทั้ง 4 รางวัลหลักในอุตสาหกรรมบันเทิงระดับโลก - Emmy, Grammy, Oscar, Tony) มาอีกหนึ่งด้วย

.

🫧 สาวน้อยในฟองสบู่ยักษ์

.

ดูจากชื่อเพลงแล้วรู้ได้ทันทีครับว่าเพลงนี้เป็นของใคร 😊 “The Girl in the Bubble” จะร้องโดยกลินดา ผู้ซึ่งในตอนจบของหนังภาคแรก (และจากตัวอย่างหนังภาคนี้) เราได้เห็นว่าเธออยู่คนละฟากฝั่งกับเอลฟาบาแล้ว ทั้งคู่กลายเป็นคนเด่นดัง ต่างกันแค่เพียงกลินดาถูกปั้นแต่งให้กลายเป็นความดีเลิศเพอร์เฟคท์ ส่วนเอลฟาบาถูกแปะป้ายว่าคือความต่ำช้าเลวทราม

.

จากลำดับในแทร็คลิสต์ทำให้พอจะเดาได้ว่า นี่คงเป็นเพลงที่ขยายการเล่าเรื่อง รวมถึงปลดเปลื้องความรู้สึกภายในที่แท้จริงของกลินดาออกมา ณ จุดเปลี่ยนที่ทำให้เธอตั้งคำถามถึงฝั่งที่เธอเคยเชื่อมั่น อันนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญ ก่อนขมวดเข้าสู่เพลงเอกของภาคนี้อย่าง “For Good” ในตอนสุดท้าย

.

เชื่อว่านี่น่าจะเป็นหนึ่งในฉากที่ผู้กำกับ Jon M. Chu ขยี้อารมณ์ได้แบบเน้น ๆ เลยทีเดียวครับ เพราะเราเห็นกันมาแล้วจากภาคแรกว่า ขนาดซีนที่ดูไม่ลึกซึ้งอะไรมากนักจากฉบับละครเวที เขายังหยิบมา ‘ขยาย’ แล้ว ‘ขยี้’ ต่อในเวอร์ชันหนังจนเราแทบตาคายโรงกันเลยทีเดียว

.

👩‍❤️‍👩 เรื่องราวจะจบลงอย่างไร

.

ถึงแม้จะไม่มี “Finale: For Good (Reprise)” อยู่ในรายชื่อเพลงที่ประกาศออกมาแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสรุปได้ครับว่าตอนจบของหนังจะเล่าแบบเดียวกับฉบับละครเวทีหรือแตกต่างออกไป ซึ่งฉบับนั้นจะวนกลับมาสู่จุดเริ่มต้นขององก์แรกที่ซึ่งประชาชนชาวออซต่างยินดีที่แม่มดร้ายได้ตายจากไปแล้ว

.

…เป็นไปได้ด้วยว่าบางที reprise นี้อาจจะถูกรวมอยู่ในแทร็คเดียวกันกับเพลง “For Good” ก็ได้ หรืออาจไม่มีเลยจริง ๆ ก็ได้ ยังไม่มีใครรู้

.

มีบทความชิ้นหนึ่งของนิตยสาร Elle วิเคราะห์ได้อย่างน่าสนใจครับ บอกว่าในนิยายต้นฉบับปี 1995 อย่าง Wicked: The Life and Times of the Wicked Witch of the West ของ Gregory Maguire นั้น มีหลายส่วนที่แตะเกี่ยวกับประเด็นทางสังคมและการเมือง รวมทั้งยังมีความรุนแรงและเนื้อหาทางเพศที่โจ่งแจ้งกว่าด้วย

.

ด้วยเหตุนี้เองละครเพลงจึงต้องข้ามส่วนที่มืดหม่นเหล่านี้ไป และพอกลายมาเป็นหนัง เมื่อพิจารณาจากเรต PG ที่ Wicked: For Good ได้ (เหมือนกับหนังภาคแรก) จึงไม่คิดว่าภาคนี้จะแตะประเด็นอะไรที่เกิดเป็น controversy ได้ง่าย ๆ เช่นกัน

.

กระนั้นแล้ว บทความวิเคราะห์ว่าการปรากฏตัวของโดโรธีใน Wicked: For Good ก็เป็นสัญญาณบางอย่างที่บ่งบอกว่าจอน เอ็ม. ชู น่าจะหยิบเอาวัตถุดิบจากหนังสือกลับมาใช้ประมาณนึง (ซึ่งในนิยาย โดโรธีจะมีบทบาทมากกว่าในละครเพลง) และนั่นอาจรวมไปถึงการอ้างอิงถึงภูมิทัศน์ทางการเมืองของออซที่เพิ่มขึ้นด้วย

.

จากมุมมองของบทความดังกล่าวจึงพอมองเห็นได้ครับว่า ถ้าเป็นตามนั้นจริง มันก็อาจส่งผลให้หนังเลือกวิธีการเล่าเพื่อปิดเรื่องในแบบที่ต่างไปได้ด้วยเช่นกันครับ เราจึงต้องมาลุ้นกันว่าจากจิ๊กซอว์ต่าง ๆ ที่วิเคราะห์กันมา สุดท้ายแล้ว Wicked: For Good จะพาเราไปในทิศทางไหน และจบลงด้วยทีท่าแบบใด อีกไม่นานเกินรอแล้วครับ

.

เรื่อง: Gaslight Café

.


ความคิดเห็น


©2023 by The Showhopper

bottom of page